“เกียรติพงศ์” ยันตลาดหุ้นฟื้นเต็มที่ เหตุนักลงทุนเชื่อมั่น คสช. (ชมคลิป)

ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน เผย SET INDEX เริ่มฟื้นตัวจากอานิสงส์ คสช. ประกาศนโยบายเศรษฐกิจดึงความเชื่อมั่น ด้านนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น ส่วนผลกระทบของภาวะสงครามในประเทศอิรัก และการต่อสู้ระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ กระทบต่อตลาดทุนระยะสั้นเท่านั้น



นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ดัชนี SET INDEX ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ โดยเปรียบเทียบจากดัชนีการซื้อขายหลักทรัพย์ปัจจุบันที่อยู่ในระดับปรับตัวสูงขึ้นก่อนที่จะมีสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนตุลาคม 2556 ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นในเรื่องนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้ประกาศออกมา และกระบวนการพิจารณาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งสามารถสร้างแรงจูงใจต่อนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในไตรมาสที่ 2 โดยกลุ่มผู้ลงทุนสถาบันภายในประเทศ และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ เป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่มีการซื้อขายมากที่สุด

ขณะเดียวกัน ในครึ่งแรกของปี 2557 ดัชนี SET INDEX โดยเฉลี่ยมีการซื้อขายปิดที่ 1,485.75 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 14.40% จากสิ้นปี 2556 และเพิ่มขึ้นถึง 4.95% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนพฤษภาคม 2557 โดยกลุ่มธุรกิจการเงินปรับตัวขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรวมต่อวันของ SET และ mai ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 35,603 ล้านบาท โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 2 อยู่ที่ 40,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9% จากไตรมาสที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ 30,814 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของเดือนมิถุนายน 2557 มูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 48,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% จากเดือนก่อนหน้า แม้จะมีปัจจัยจากความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ประมาณการแนวโน้มผลกระทบของภาวะสงครามในประเทศอิรัก และการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ จะเป็นเพียงผลกระทบที่มีต่อตลาดทุนในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น (Gross Domestic Product :GDP) จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 1.5% โดยจะสะท้อนเป็นผลบวกต่อนโยบายโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศที่จะเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า