ศูนย์วิจัยทองคาดแนวโน้มราคาทองคำผันผวนจาก 2 ประเด็นหลักคือ สงครามในตะวันออกกลางดันราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และเฟดอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้น กระทบราคาทองคำแกว่งตัว
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิตร กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทองคำเดือนกรกฎาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 56.14 จุด หรือ 23.31% จากเดือนมิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ 45.35 จุด ซึ่งการที่ดัชนีปรับตัวสูงนั้นสะท้อนมุมมองในเชิงบวกต่อราคาทองคำในประเทศระหว่างเดือน โดยราคาทองคำที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นมานั้น ได้รับแรงหนุนจากภาวะสงครามในตะวันออกกลาง ทั้งจากประเทศอิรัก และการสู้รบระหว่างประเทศอิสราเอล และปาเลสไตน์ ที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มราคามากขึ้น ขณะที่ความต้องการสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ และความผันผวนของนโยบายธนาคารกลางสหรัฐฯ และค่าเงินบาทยังมีน้ำหนักต่อทองคำ ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง 37% เชื่อว่าจะซื้อทองคำช่วง 1 เดือนข้างหน้า
“ขณะที่แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าคาดว่าดัชนีโดยรวมจะอยู่ที่ 63.81 จุด เพิ่มขึ้นจากการจัดทำเดือนมิถุนายน ทำให้เชื่อว่า กลุ่มตัวอย่างยังคงมีมุมมองระยะกลางต่อราคาทองคำในเชิงบวก โดยมองปัจจัยสนับสนุนประเด็นใกล้เคียงกันคือ ความเสี่ยงในอิรัก ที่ส่งผลต่อทิศทางเงินดอลลาร์ และค่าเงินบาท โดยเฉพาะค่าเงินบาทจะแข็งค่าเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ระยะนี้เป็นต้นไป แนะนักลงทุนทยอยซื้อเมื่อราคาลดลง และขายออกเมื่อราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น”
ขณะที่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไอที มีสัดส่วนของการใช้ทองคำเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 7-10% ของการใช้งานทั้งหมด รวมแล้วทั้งปีคาดว่าจะมีปริมาณการใช้ทองคำมากถึง 4 พันตัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมของการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปีนี้มีการใช้ทองคำเพื่อการผลิตเพิ่มมากขึ้นถึง 70% ตามอัตราการเติบโต และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำในตลาดโลกครึ่งปีหลัง คาดว่ากรอบราคาทองคำสูงสุดจะอยู่ที่ระหว่าง 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดจะอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ (ความบริสุทธิ์ 95.5%) จะอยู่ที่ 21,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ และกรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดอยู่ที่ 18,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ