xs
xsm
sm
md
lg

“CNT” คงเป้ารายได้ปีนี้ 9 พันล้านบาท คาดอุตฯ ก่อสร้างฟื้นตัวครึ่งปีหลัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT
CNT คงประมาณการรายได้ปีนี้แตะ 9,000 ล้านบาท หลัง คสช.เข้าเดินเครื่องเศรษฐกิจ หลังแช่แข็งนานครึ่งปี คาดทยอยปรับตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง จากการจ่ายเงินชาวนาโครงการจำนำข้าว และสานต่อโครงการต่างๆ ที่ค้างอยู่เพื่อดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน

นายสุรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT กล่าวว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 9,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทฯ รับรู้งานในมือ หรือ Backlog แล้วประมาณ 7,360 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้จากโครงการต่างๆ ประมาณ 60% ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะทรงตัวจากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 2,584 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท

“ไตรมาส 2 คาดว่ารายได้จะทรงตัวจากไตรมาสแรกทั้งรายได้ และกำไร ซึ่งบริษัทฯ พยายามประคับประคองธุรกิจเพื่อผ่านสถานการณ์ไปให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังคาดว่าอุตฯ รับเหมาก่อสร้างน่าจะกลับมาสดใสได้อีกครั้ง หลังความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น จากการเข้ามาบริหารงานของ คสช. ที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังมีการรัฐประหาร เช่น เริ่มจ่ายเงินรับจำนำข้าวที่ค้างอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่องบประมาณในการลงทุนของภาครัฐ แต่ที่จะเห็นฟื้นตัวในไตรมาส 3 เป็นต้นไป คงเป็นในส่วนของร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์น เทรด ที่มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ คาดว่าปริมาณงานจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังมีความชัดเจนทางการเมืองมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ เห็นสัญญาณที่ดีจากปริมาณงานในส่วนของร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์น เทรด ที่จะขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น หลังจากมีการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวให้แก่ชาวนา โดยสัดส่วนรายได้จากร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์น เทรด คิดเป็น 39% ของรายได้รวมทั้งหมด ตลอดจนถึงการลงทุนในโครงการภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เริ่มมีการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่างานดังกล่าวที่ค้างอยู่จะสามารถดำเนินการต่อไปได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะที่ใน 5 เดือนแรกปีนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่ำกว่าปีก่อน จำนวน 448 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้ปริมาณงานก่อสร้างของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงถึง 70% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ต้องลงมารับงานในโครงการขนาดกลาง และขนาดเล็ก ทำให้มีการแข่งขันกันสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวลดลงตามไปด้วย  ประกอบกับบริษัทฯ มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยที่ใช้ในการลงทุนโรงงานและเครื่องจักรใหม่ รวมถึงการทำโครงการเทรนด์นิ่ง เซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5.5% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 6.9%

“ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่ลงมาแข่งขันในตลาดกลาง และเล็ก ส่งผลให้มีการแข่งขันกันสูง ทำให้บริษัทมีงานเข้ามาน้อยมาก จึงส่งผลให้มาร์จิ้นของงานต่างๆ ลดลงจากการแข่งขัน รวมถึงบริษัทฯ มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโรงงานและเครื่องจักรใหม่ รวมถึงเทรนด์นิ่ง เซ็นเตอร์”
 


กำลังโหลดความคิดเห็น