บสย.ออก 5 มาตรการช่วยเหลือ SMEs เตรียมเสนอ คสช. พิจารณา ยอมรับการปล่อยสินเชื่อของแบงก์สู่ระบบตั้งแต่ต้นปี 57 น้อยมาก โดยลดลงถึง 50%
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า หลังจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว การปล่อยสินเชื่อของธนาคารตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.57 ออกสู่ระบบน้อยมาก โดยลดลงถึงร้อยละ 50 เพราะต้องระวังความเสี่ยง จนทำให้เอสเอ็มอีขาดสภาพคล่อง ผู้ประกอบการายย่อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนสูงถึง 1.75 ล้านราย จากยอดเอสเอ็มอีทั้งหมด 2.7 ล้านราย อีกทั้งยอดเคลมประกันจากหนี้เสียเริ่มสูงขึ้นใน 5 เดือนแรกของปีประมาณ 15,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดเคลมทั้งปี 56 มีเพียง 2,000 ล้านบาท และแนวโน้มปัญหาเอ็นพีแอลปรับสูงขึ้น
บสย. จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs “5 มาตรการ บสย.เพื่อSMEs” เพื่อนำเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พิจารณาเร่งด่วน ดังนี้
1.การเสนอขออนุมัติให้รัฐจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทน SMEs ในปีแรก ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 วงเงิน 55,000 ล้านบาท โดย บสย. ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ จำนวน 962.50 ล้านบาท ช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ประมาณ 11,000 ราย หวังก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 94,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 534,000 ล้านบาท
2.นำเสนอขออนุมัติรัฐให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการกลุ่มรายย่อย Micro SMEs ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดย บสย.ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ วงเงิน 1,150 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 50,000 ราย ช่วยสร้างอาชีพให้แก่ธุรกิจในครัวเรือนประมาณ 150,000 คน ลดต้นทุนการกู้ยืมเงินนอกระบบประมาณร้อยละ 15-30 ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 48,500 ล้านบาท กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการรายย่อยมาก จึงต้องค้ำประกันความเสี่ยงประมาณ 200,000 แสนบาทต่อราย คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1-3 บสย.ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงถึงร้อยละ 50 ของการค้ำประกัน
3.นำเสนอขออนุมัติให้รัฐให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่ม OTOP ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการ OTOP วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ วงเงิน 1,600 ล้านบาท เพื่อหวังช่วยให้ผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 10,000 ราย การช่วยสร้างอาชีพให้แก่ธุรกิจในชุมชนประมาณ 70,000 คน คาดว่าก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 12,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 97,000 ล้านบาท โดยสินค้าโอทอป เป็นกลุ่มที่มีมาตรฐานในการผลิตสินค้า จึงมีความเสี่ยงลดลง คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 การรับผิดชอบความเสียหายของสินเชื่อที่ร้อยละ 25 ค่าธรรมเนียมจึงลดลง ให้การค้ำประกันสินเชื่อประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อราย
โดย 3 มาตรการดังกล่าว เป็นการขอเงินเพื่อช่วยค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการประมาณ 3,700 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อใหม่ประมาณ 111,000 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน และช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
หลังจากที่ผ่านมาได้เดินหน้าไปแล้ว 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน โดยการยืดระยะเวลาการชำระออกไปอีก 6 เดือน โดยมาตรการนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าเดิม บสย. ที่จะถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 ถึง 31 ธันวาคม 2557 โดยมีลูกค้า บสย. ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว จำนวน 50,067 ราย คิดเป็นภาระค้ำประกันประมาณ 165,000 ล้านบาท ซึ่ง บสย.จะช่วยให้เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 2,800 ล้านบาท มาตรการนี้ บสย. ดำเนินการเอง โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากรัฐ
2.มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ระหว่างการขอสินเชื่อ โดยมี บสย. ค้ำประกัน โดยเบื้องต้น บสย. ได้หารือกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เพื่อขอพิจารณาสนับสนุนเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ สสว. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทน SMEs ในปีแรก คิดเป็นเงินสนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกันวงเงิน 262.50 ล้านบาท มีวงเงินค้ำประกันรวมไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 146,000 ล้านบาท
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า หลังจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว การปล่อยสินเชื่อของธนาคารตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค.57 ออกสู่ระบบน้อยมาก โดยลดลงถึงร้อยละ 50 เพราะต้องระวังความเสี่ยง จนทำให้เอสเอ็มอีขาดสภาพคล่อง ผู้ประกอบการายย่อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนสูงถึง 1.75 ล้านราย จากยอดเอสเอ็มอีทั้งหมด 2.7 ล้านราย อีกทั้งยอดเคลมประกันจากหนี้เสียเริ่มสูงขึ้นใน 5 เดือนแรกของปีประมาณ 15,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดเคลมทั้งปี 56 มีเพียง 2,000 ล้านบาท และแนวโน้มปัญหาเอ็นพีแอลปรับสูงขึ้น
บสย. จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs “5 มาตรการ บสย.เพื่อSMEs” เพื่อนำเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พิจารณาเร่งด่วน ดังนี้
1.การเสนอขออนุมัติให้รัฐจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทน SMEs ในปีแรก ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 วงเงิน 55,000 ล้านบาท โดย บสย. ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ จำนวน 962.50 ล้านบาท ช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ประมาณ 11,000 ราย หวังก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 94,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 534,000 ล้านบาท
2.นำเสนอขออนุมัติรัฐให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการกลุ่มรายย่อย Micro SMEs ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดย บสย.ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ วงเงิน 1,150 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 50,000 ราย ช่วยสร้างอาชีพให้แก่ธุรกิจในครัวเรือนประมาณ 150,000 คน ลดต้นทุนการกู้ยืมเงินนอกระบบประมาณร้อยละ 15-30 ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 48,500 ล้านบาท กลุ่มดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการรายย่อยมาก จึงต้องค้ำประกันความเสี่ยงประมาณ 200,000 แสนบาทต่อราย คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1-3 บสย.ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงถึงร้อยละ 50 ของการค้ำประกัน
3.นำเสนอขออนุมัติให้รัฐให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่ม OTOP ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการ OTOP วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ขอพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สำหรับโครงการนี้ วงเงิน 1,600 ล้านบาท เพื่อหวังช่วยให้ผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ประมาณ 10,000 ราย การช่วยสร้างอาชีพให้แก่ธุรกิจในชุมชนประมาณ 70,000 คน คาดว่าก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 12,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 97,000 ล้านบาท โดยสินค้าโอทอป เป็นกลุ่มที่มีมาตรฐานในการผลิตสินค้า จึงมีความเสี่ยงลดลง คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 การรับผิดชอบความเสียหายของสินเชื่อที่ร้อยละ 25 ค่าธรรมเนียมจึงลดลง ให้การค้ำประกันสินเชื่อประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อราย
โดย 3 มาตรการดังกล่าว เป็นการขอเงินเพื่อช่วยค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการประมาณ 3,700 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อใหม่ประมาณ 111,000 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน และช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อได้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว
หลังจากที่ผ่านมาได้เดินหน้าไปแล้ว 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน โดยการยืดระยะเวลาการชำระออกไปอีก 6 เดือน โดยมาตรการนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าเดิม บสย. ที่จะถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 ถึง 31 ธันวาคม 2557 โดยมีลูกค้า บสย. ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว จำนวน 50,067 ราย คิดเป็นภาระค้ำประกันประมาณ 165,000 ล้านบาท ซึ่ง บสย.จะช่วยให้เกิดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 2,800 ล้านบาท มาตรการนี้ บสย. ดำเนินการเอง โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากรัฐ
2.มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ระหว่างการขอสินเชื่อ โดยมี บสย. ค้ำประกัน โดยเบื้องต้น บสย. ได้หารือกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เพื่อขอพิจารณาสนับสนุนเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ สสว. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทน SMEs ในปีแรก คิดเป็นเงินสนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกันวงเงิน 262.50 ล้านบาท มีวงเงินค้ำประกันรวมไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 146,000 ล้านบาท