“ควอลิตี้เฮ้าส์” เพิ่มงบซื้อที่ดินจาก 4,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท หลังเศรษฐีเก่าเจอพิษเศรษฐกิจตัดใจขายที่ดินย่านกลางเมือง ยันราคายังไม่ตก ชี้หากการเมืองลากยาววิกฤตเศรษฐกิจมีโอกาสเกิด แต่ไม่ร้ายแรงเท่าปี 40 คาดอสังหาฯ ปี 57 ติดลบ 5-10% พร้อมเดินหน้าเปิด 23 โครงการ 21,131 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ส่งออก โรงงาน เป็นต้น หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อออกไปอีกจนถึงปีหน้ามีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรืออาจไม่เกิดก็ยังไม่สามารถบอกได้ แต่ถึงเกิดก็จะไม่รุนแรงเท่าปี 40 เพราะส่วนใหญ่ได้รับบทเรียนจากวิกฤตมาแล้ว จึงมีความระมัดระวังมากขึ้น
เศรษฐกิจชะลอตัวเริ่มส่งผลกระทบในวงกว้าง ที่ผ่านมา เริ่มมีเจ้าของที่ดินเก่าในย่านกลางเมืองหลายรายนำเอาที่ดินเก่ามาขายในตลาด แต่ไม่ได้ขายลดราคาจากเดิมที่กลุ่มนี้จะหวงแหนที่ดินมากไม่เอาออกมาขายง่ายๆ ต่างจากในช่วงปี 40 ที่ดินส่วนใหญ่ติดจำนองในธนาคารเจ้าของมีภาวะกดดันจากดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจึงรีบขาย
ภาวะดังกล่าวทำให้บริษัทตัดสินใจเพิ่มงบประมาณซื้อที่ดินในปีนี้เป็น 7,500 ล้านบาท จากในช่วงต้นปีตั้งไว้เพียง 4,000 ล้านบาท เพื่อนำมารองรับแผนการลงทุนพัฒนาโครงการในปี 58-59 ในจำนวนดังกล่าวเป็นการซื้อที่ดินในต่างจังหวัดแล้ว 10% ส่วนที่เหลือ 90% อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
“ล่าสุดเราซื้อที่ดินเปล่าติดรถไฟฟ้า BTS สถานีนานา ขนาดกว่า 3 ไร่ ซื้อมาในราคาตารางเมตรละ 1.8 ล้านบาท รวม 2,400 ล้านบาท ขณะที่ดิน กทม.แถบสมุทรปราการ เราก็จะซื้อที่ดินเพื่อทำคอนโดฯ เพราะมองเมืองจะขยายในอนาคต ใจกลาง กทม.ก็จะเป็นสถานที่ทำงาน และนอกเมืองเป็นที่อยู่อาศัย คอนโดฯ ก็จะติดแนวรถไฟฟ้า”
นายรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ถ้าการเมืองยืดเยื้อถึงสิ้นปีมูลค่าตลาดรวมอสังหาฯ ในไทยจะลดลง 5-10% แต่ถ้าการเมืองจบโดยเร็วตลาดอสังหาฯ ก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น เพราะคนมีกำลังซื้อ แต่ขาดความเชื่อมั่นทำให้ชะลอตัดสินใจซื้อ
สำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ตลาดกลาง-บน เนื่องจากลูกค้าหลักส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ ธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ส่งออก ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การเมืองอย่างมาก เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อธุรกิจในอนาคต มีความจำเป็นซื้อบ้านน้อย จึงชะลอการตัดสินใจซื้อ
“สภาพตลาดกลาง-บนเงียบ แต่กลางลงล่างยังดี ปัญหาการเมืองยืดเยื้อก็กระทบส่วนหนึ่ง แต่ระดับกลางลงล่างคงไม่รอเพราะมีความจำเป็นก็ต้องซื้อต้องตัดสินใจ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทไม่โดนกระทบมากเพราะออกไปทำโครงการต่างจังหวัดพอสมควร ซึ่งตลาดต่างจังหวัดไม่กังวลการเมืองมาก ทำให้ยอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง” นายรัตน์ กล่าว
ด้านนางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการสายสนับสนุนปฏิบัติการ QH กล่าวว่า ณ สิ้นไตรมาส 1/57 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 9,300 ล้านบาท ซึ่งจะโอนช่วงที่เหลือของปีนี้ 4,800 ล้านบาท และปี 58 อีก 4,500 ล้านบาท สำหรับยอดขายตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันทำได้แล้ว 5,500 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 21,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายในช่วงไตรมาส 2 จะปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะกระจุกตัวในช่วงไตรมาส 2-3 ซึ่งจะทำให้กระตุ้นยอดขายได้มาก และคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ มูลค่า 1,179 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 25 โครงการ มูลค่า 22,310 ล้านบาท โดยไตรมาส 2 เปิด 6 โครงการ ไตรมาส 3 เปิด 12 โครงการ และไตรมาส 4 เปิด 5 โครงการ แบ่งเป็นโครงการต่างจังหวัด 7 โครงการ กรุงเทพฯ 18 โครงการ ต่างจังหวัด เช่น เชียงราย ชลบุรี ศรีราชา เพชรบุรี นครปฐม ประจวบฯ ปัจจุบัน สินค้าของบริษัทแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 54% ทาวน์เฮาส์ 23% และคอนโดฯ 23%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเสนอขายหุ้นกู้อีก 4,000-5,000 ล้านบาท ในช่วงจากนี้ไปจนถึงปลายปี หลังออกไปแล้ว 2,000 ล้านบาท เมื่อเดือนเมษายน อัตราดอกเบี้ย 3.85% เพื่อคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนด 2,000 ล้านบาท และที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียน ส่วนจะออกคราวเดียวกันหรือแบ่งต้องพิจารณาตามภาวะตลาด แต่จะพยายามไม่ให้ต้นทุนสูง หรือเฉลี่ยต้นทุนดอกเบี้ยไม่เกิน 4%