xs
xsm
sm
md
lg

จับตาการเมืองช่วงสงกานต์ หวั่นซ้ำรอย “เมษาเลือด” ฉุด ศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุรเชษฐ กองชีพ
เผยทุนธุรกิจไทย-ต่างประเทศ จับตาใกล้ชิดสถานการณ์การเมืองช่วงสงกานต์ หวั่นผู้ชุมนุม 2 ฝ่ายปะทะเดือน ซ้ำรอย “เมษาเลือด” ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลังทรุดหนัก หลัง นปช.ประกาศระดมมวลชนเข้ากรุงฯ คอลลิเออร์ฯ เผยสัญญาการลงทุนเดือน มี.ค.เริ่มกระเตื้องทุนต่างชาติหวนกลับมาปรึกษาให้ช่วยหาผู้ร่วมทุน ซื้อที่ดิน เทกฯ อาคารเช่า คาดทั้งปีมีการซื้อขายที่ดินผ่านมือไม่ต่ำ 3,000ล้านบาท

นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนทั้งที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ และชาวไทย พบว่ายังมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนนี้ ทำให้กลุ่มนักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติยังจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด หลังจากที่กลุ่ม นปช. ประกาศว่าจะมีการระดมมวลชนเข้ามาชุมนุมใน กทม.ช่วงเดือนเมษายน ซึ่งอาจจะมีการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. หรือคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

“หากเกิดการปะทะกันขึ้นจะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ และกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย ซึ่งผลกระอาจจะมากกว่านักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากที่ผ่านมา ในสายตานักลงทุนต่างชาตินั้นสถานการณ์ทางการเมืองไทยแย่อยู่แล้ว และไม่น่าจะมากกว่าที่เป็นอยู่”

ทั้งนี้ หากในช่วงเดือนเมษายนไม่เกิดปัญหาการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม หรือมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจ และ อุตสาหกรรมโดยรวมกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลรักษาการประกาศยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ กปปส.ได้ย้ายไปปักหลังชุมชนไปอยู่ในสวนลุมพินี ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ขณะที่นักลงทุนทั้งชาวไทย และต่างชาติเองก็เริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์การเมือง และหันมาพิจารณาถึงแผนการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่ชะลอแผนการลงทุนเพื่อดูสถานการณ์ในช่วง3เดือนที่ผ่านมา

“ขณะนี้เริ่มมีกลุ่มบริษัทต่างๆ ในกลุ่มประเทศเอเชีย ที่มีแผนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และได้ชะลอแผนการลงทุนออกไปในช่วงก่อนหน้านี้ เริ่มกลับเข้ามาติดต่อให้คอลลิเออร์สฯ เป็นตัวกลางจัดหาผู้ร่วมทุน ซื้อที่ดิน เพื่อรองรับการลงทุนโครงการในอนาคต ทั้งในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมโรงงาน โรงแรม ที่พักอาศัย และที่อยู่อาศัยบ้างแล้ว โดยกลุ่มบริษัทที่เข้ามาติดต่อส่วนใหญ่เป็นบริษัทจากประเทศ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี และสิงคโปร์”

โดยกลุ่มทุนจากประเทศจีนนั้น สนใจลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่จังหวัดที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนกลุ่มทุนจากฮ่องกง และเกาหลีใต้ นั้นสนใจเทกโอเวอร์อาคาร และสำนักงานเช่าใน กทม. เพื่อลงทุนปล่อยเช่าในอนาคต ขณะที่กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น สนใจหาผู้ร่วมทุนและลงทุนในโครงการอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม เช่นเดียวกับกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์

น.ส.ณุกานต์ สุวัตธิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายที่ดินในกรุงเทพมหานคร ยังคงมีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่ติดต่อกับบริษัทในช่วงนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศที่คุ้นเคยกับสภาวะทางการเมืองของประเทศไทย และซื้อที่ดินไปเพื่อพัฒนาใช้เอง หรือเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย โดยในช่วง 2 เดือนแรก บริษัทสามารถปิดการขายที่ดินมูลค่า 700 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองเพื่อลงนามสัญญาจะซื้อจะขาย 2,500 ล้าน ซึ่งทางบริษัทคาดว่าปีนี้จะมียอดขายที่ดินมากกว่า 3,000 ล้านบาท โดยหลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมย้ายมารวมกันที่สวนลุมพินี และรัฐบาลไม่ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เริ่มมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาติดต่อที่บริษัทมากขึ้น

นายสุรเชษฐ กล่าวเสริมว่า สถานการณ์การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ กทม.ของปี2557 คาดว่าจะหดตัวลงกว่า 20% โดยคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณซัปพลายห้องชุดใหม่เข้าสู่ตลาด กทม.ประมาณ 40,000 ยูนิตเศษ หรือมคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เฉลี่ยไตรมาสละ 10,000 ยูนิต ลดลงจากปี 56 ซึ่งมีการเปิดตัวโครงการห้องชุดทั้งปีที่ 50,000 ยูนิต โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีพบว่ามีโครงการคอนโดเปิดใหม่ 14-15 โครงการ หรือมีจำนวนยูนิตรวม 10,119 ยูนิต ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการลงทุนพื้นที่รอบนอกของ กทม.

“โครงการส่วนใหญ่ที่เปิดขายในช่วง 3 เดือนแรกของปีเป็นโครงการที่มีราคาไม่แพง โดยมีราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 650,000 บาทต่อยูนิต สำหรับห้องแบบ 1 ห้องนอน ขนาดประมาณ 22.5 ตารางเมตร หรือประมาณ 30,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป จนถึงประมาณ 140,000 บาทต่อตารางเมตร ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ในขณะที่ยอดขายของโครงการที่เปิดขายใหม่เหล่านี้ค่อนข้างน้อยคือ อยู่ที่ประมาณ 40% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก เพราะผู้ซื้อยังคงมีความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองอยู่ และผู้ประกอบการที่เปิดขายโครงการในช่วงนี้ก็ไม่มีการทำกิจกรรมทางการตลาดมากมายเหมือนช่วงก่อนหน้า”

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหลายรายที่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จากการที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายไประดับหนึ่ง คาดว่าจะช่วยให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมามีความเคลื่อนไหวมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ตลาดโรงแรมในกรุงเทพมหานคร ก็เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น มีการทำประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาใช้บริการมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่มีการชุมนุม จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติหายไม่ต่ำกว่า 350,000 คน ทำให้ประเทศขาดรายได้ไปมากกว่า 16,000 ล้านบาท แต่ผู้ประกอบการหลายๆ รายประเมินว่า อาจจะหายไปมากกว่า 1,000,000 คน ซึ่งคิดเป็นรายได้มากกว่า 350,000 ล้านบาท โดยเฉพาะโรงแรมย่านราชประสงค์ และปทุมวัน ซึ่งในบริเวณนี้มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 20-30% เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น