xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองฉุด ศก.ทรุด บ้าน 1.5 ล้านระส่ำ กลุ่มลูกค้าโรงงานโอทีหาย รายได้หด ฉุดกำลังซื้อลด 20%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์
“บิ๊กพฤกษา” เผยปัญหาการเมืองทำเศรษฐกิจทรุด อุตสาหกรรม-ส่งออกอ่วม ลดโอที ฉุดรายได้พนักงานลด กระทบตลาดบ้าน 1.5 ล้านบาท คาดทำกำลังซื้อหาย 10-20% คาดทั้งปีอสังหาฯ ติดลบ 5% ออกมาตรการ WIN BACK ช่วยลูกค้ารีเจกต์กลับซื้อบ้านได้ เผยลูกค้ากลุ่มใหม่หันซื้อบ้านพฤกษาเพิ่ม มั่นใจยอดขายตามเป้า 4.1-4.5 หมื่นล้าน หลังสัญญาณกำลังซื้อกลับตั้งแต่ มี.ค.ยอดขายทะลุ 4,640 ล้านบาท

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายปี 2556 จนถึงปัจจุบัน การลงทุนภาครัฐหายไป ฉุดให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบตามไปด้วย โดยคาดว่าทั้งปีจะติดลบ 5%

ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ฉุดภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกลดลงไปด้วย ทำให้พนักงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้รับผลกระทบไม่มีโอที รายได้ต่อเดือนลดลงประมาณ 10-20% ซึ่งกลุ่มนี้เป็นลูกค้าบ้านระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หรือมีรายได้รวม 20,000-30,000 บาท/เดือน เป็นผลให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมมีกำลังซื้อลดลง 10-20% ตามไปด้วย

“ที่ผ่านมา บริษัทมีสถิติลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 25-26% โดยมาจากหลายสาเหตุ เช่น รายได้ไม่ถึง ซื้อบ้านแพงไป ความต้องการเปลี่ยน หรือจองร่วมกับแฟนแต่เลิกกันจึงกู้ไม่ผ่าน ดังนั้น เพื่อช่วยให้กลุ่มลูกค้าดังกล่าวสามารถซื้อบ้านได้ จึงได้ออกมาตรการ “WIN BACK” โดยให้เชลล์ที่มีฐานข้อมูลลูกค้า ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมีซื้อบ้านของพฤกษาให้ได้ ด้วยการแก้ปัญหาเป็นรายกรณีไป เช่น หากกู้คนเดียวไม่ผ่านให้หาผู้กู้ร่วม ซื้อบ้านถูกลง ฯลฯ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถช่วยลูกค้ากลับมาซื้อบ้านได้ไม่น้อยกว่า 10%”

นายทองมา กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวทำให้ไตรมาส 1/57 ที่ผ่านมายอดขายของบริษัทมีจำนวน 8,194 ล้านบาท ลดลงถึง 33.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 56 ที่มียอดขาย 12,330 ล้านบาท นับเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากยอดขายในช่วงเดือนมีนาคมจะพบว่ากำลังซื้อเริ่มกลับเข้ามาในตลาด โดยพบว่ามียอดขายสูงถึง 4,640 ล้านบาท ขณะที่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ยอดขาย 2 เดือนเพียง 3,554 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกำลังซื้ออั้นมานาน นับจากเกิดปัญหาการเมืองตั้งแต่ปลายปี 2556 จนถึงปัจจุบัน และไม่มีท่าทีว่าจะยุติลง ทำให้ประชาชนเริ่มชินและปรับตัวให้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหา นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า ให้ความสำคัญต่อบริการหลังการขาย พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาซื้อบ้านพฤกษาเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัว แต่จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานทำให้บริษัทยังเชื่อมั่นว่าในปี 57 จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนด คือ ยอดขาย 41,000-45,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 40,000-41,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 15,000 ล้านบาท รวมถึงยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Active Projects) ทั้งหมด 173 โครงการ มูลค่ารวม 66,327 ล้านบาท โดย 80% เป็นโครงการแนวราบ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะมีส่วนในการสนับสนุน หรือผลักดันการขยายตัวของยอดขายในแนวราบต่อไป

ส่วนเป้าหมายการลงทุนจะเพิ่มจำนวนโครงการมากขึ้นจากแผนเดิม 50 โครงการ ส่วนมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยยังคงให้ความสำคัญโครงการแนวราบ โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ พัฒนาโครงการขนาดเล็กลง เช่น เดิมที่ดิน 1 แปลง มีแผนพัฒนา 2 โครงการ ก็เพิ่มเป็น 3 หรือ 4 โครงการ โดยเพิ่มความหลากหลายของประเภทบ้าน และระดับราคา เพื่อให้สามารถปิดการขายได้เร็วขึ้น

รวมไปถึงการหันมาใช้นวัตกรรมในการก่อสร้างทำให้สามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้นเสร็จภายใน 112 วัน จากเดิม 146 วัน ทำให้รอบธุรกิจเร็วขึ้น การนำห้องน้ำสำเร็จรูปมาใช้โดยปัจจุบันใช้ห้องน้ำสำเร็จรูปประมาณ 3,000-4,000 ชุดต่อปี มาจากโรงงานของพฤกษา และซื้อจากดีลเลอร์ จากความต้องการใช้ 45,000 ชุดต่อปี ห้องน้ำคิดเป็น 20% ของงานก่อสร้าง โดยบริษัทยังไม่มีแผนขยายโรงงานผลิต แม้ว่าซื้อจากดีลเลอร์จะแพงกว่า 5% แต่จะช่วยลดภาระในการดำเนินงานของบริษัทในส่วนของงานก่อสร้างได้ถึง 20%

“การบริหารจัดการดังกล่าวทำให้รอบของธุรกิจของบริษัทเร็วขึ้น ลดภาระต้นทุนทางการเงินได้มาก นอกจากนี้ บริษัทยังรัดเข็มขัดด้วยการลดต้นทุนต่างๆ เช่น ใช้เงินกู้ที่มีดอกเบี้ยน้อยลง บริหารจัดการการก่อสร้างเพื่อลดการสูญเสีย ลดงบโฆษณาและอื่นๆ เพื่อควบคุมและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง โดยจะเห็นว่าในไตรมาส 1 บริษัทมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 36.8% จากที่ไตรมาส 1/56 มีกำไรขั้นต้น 34.7%” นายทองมากล่าว

สำหรับแผนการลงทุนในอนาคตเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากการลงทุน บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนในต่างจังหวัดมากขึ้น จากที่ปัจจุบันมีเพียง 10% ของพอร์ตลงทุน ส่วนที่เหลือเกือบ 90% อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยตั้งเปาที่จะเพิ่มเป็น 15% และ 20% ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยจะเน้นไปที่หัวเมืองหลัก ภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง, ภาคใต้ นครศรีธรรมราช สงขลา, ภาคอีสาน นครราชสีมา ขอนแก่น และภาคเหนือ เชียงใหม่ พิษณุโลก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดต่างจังหวัดส่วนใหญ่เป็นตลาดเล็ก มีมูลค่าไม่สูงประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท/ปี จึงต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ยกเว้นตลาดชลบุรี ระยอง ที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 1 แสนล้านบาท/ปี รองจากกรุงเทพฯ ดังนั้น จึงถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากอีกตลาดหนึ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น