“ยูเอซี โกลบอล” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/57 มีรายได้รวม 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากออเดอร์เคมีภัณฑ์มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โครงการ CGB จ.เชียงใหม่ และ PPP จ.สุโขทัย เริ่มหนุนรายได้เพิ่ม ด้าน “กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ระบุสั่งเร่งเดินเครื่องธุรกิจพลังงานให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ หวังดันรายได้โตเท่าตัว จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ผู้ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทน และการนำเข้าและจำหน่ายสินค้าในอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ประจำงวดไตรมาส 1/2557 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ที่ 246 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 15.70 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 21 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทฯ รับรู้รายได้จากยอดคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงาน เช่น โรงผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง (CBG) จ.เชียงใหม่ และ โครงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) จ.สุโขทัย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ดีขึ้น ในขณะที่ EBIDA ของไตรมาสแรกปี 2557 จะอยู่ที่ 33.8 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 3 ล้านบาท คิดเป็น 8%
ส่วนแผนการความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจนั้น นายกิตติ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังเดินหน้าแผนดำเนินโครงการก่อสร้างโรงผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง (CBG) เพิ่มเติมให้ครบ 20 แห่งตามแผนที่กำหนดไว้ภายในปี 2558 โดยแบ่งเป็น ภาคเหนือ 10 แห่ง และอีสาน 10 แห่ง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มก่อสร้างในภาคเหนือไปแล้ว 4 แห่ง ส่วนในภาคอีสาน เริ่มก่อสร้างไปแล้ว 2 แห่ง ทั้งนี้ หากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะส่งผลให้บริษัทฯทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป
ขณะที่โครงการร่วมทุนกับบริษัท SEBIGAS (S.p.A) ภายใต้ “UAC Energy” นั้น ล่าสุด ได้มีการลงนามในสัญญาก่อสร้างโครงการไบโอก๊าซจากหญ้าเนเปียร์ ไปแล้ว 2 โครงการ จากโครงการทั้งหมด จำนวน 6 โครงการ ส่วนโครงการที่เหลืออีก 4 โครงการนั้น กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาในขั้นตอนสุดท้าย และคาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/2557 นี้ โดยจะรับรู้รายได้แต่ละโครงการเฉลี่ย 160 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขยายโรงงานไบโอดีเซล ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) พร้อมทั้งกำลังก่อสร้างโครงการโซลาร์รูฟ อีก 3 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวม 1.3 เมกะวัตต์ ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการนี้ประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งจะแล้วเสร็จ และจะรับรู้รายได้ ใน 2 โครงการแรก ภายในไตรมาส 2/2557 นี้ ส่วนที่เหลืออีก 1 โครงการ จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2557
อย่างไรก็ตาม จากแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวมาจากงบลงทุนของบริษัทฯ ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนในโครงการโรงผลิตก๊าซชีวภาพ และโครงการโซลาร์ พร้อมมีแผนศึกษาการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกเพิ่ม เช่น ชีวมวล และ Waste to Energy ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคต และยังเป็นการสอดรับนโยบายของบริษัทฯ ที่ตั้งเป้าหมายธุรกิจพลังงานในปี 2558 เป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20%
“บริษัทฯประมาณการรายได้รวมปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,200 ล้านบาท เติบโตจากปี 2556 ในอัตรา 20% โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจพลังงานทางเลือกประมาณ 20% ของรายได้รวม” นายกิตติ กล่าว