เผยตลาดรวมวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านปี 57โตไม่เกิน 5% หลังกำลังซื้อลูกค้าหดตัว จากผลกระทบการเมือง-เศรษฐกิจ ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ ชี้ตลาดต่างจังหวัด อีสาน เหนือ รับผลกระทบหนักหลังสินค้าภาคเกษตรตกต่ำ ชาวนายังไม่ได้รับเงินขายข้าว ทำเม็ดเงินในระบบหายกว่า 1 แสนล้านบาท ด้านโฮมโปรฯ ยันยอดขายยังโต แต่ยอดขายสาขาเดิมลดต่ำกว่าเป้าทางวางไว้จาก 6% เหลือโตแค่ 4% แจงยอดลูกค้าเข้าซื้อสินค้าในสาขาลดลง 1% แต่ยอดขายต่อบิลเพิ่ม 8% หลังปรับแผนบริการหลังการขาย เร่งทำ CRM พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายระบบ-ขนส่งหลังการขาย เล็งเปิดตัวแอปพลิเคชันเพิ่มความสะดวกลูกค้าตรวจสิบสินค้า-ควบคุมคุณภาพงานในปีนี้
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านในปี 2557 นี้ ยังมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า แต่อัตราการขยายตัวจะลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่น ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อลดลง เนื่องจากผู้บริโภคจะคิด และประหยัดมากขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใช้จ่ายลดลง
นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภค หรือลูกค้าในต่างจังหวัด ซึ่งมีรายได้หลักจากภาคการเกษตรยังประสบปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรทำให้กำลังซื้อลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้หลักจากการเพาะปลูกข้าว ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินจากการขายข้าว ทำให้เม็ดเงินในระบบหายไปกว่า100,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวจะอยู่ในพื้นที่โซนภาคอีสาน และภาคเหนือ รวมถึงภาคกลางในบางจังหวัด
จากปัญหาการหดตัวของกำลังซื้อในต่างจังหวัด ส่งผลกระทบต่อยอดขายของสาขาโฮมโปรฯ ในโซนต่างจังหวัดลดลงไปด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา ยอดขายของสาขาเดิมในพื้นที่ต่างจังหวัดขยายตัวเพียง 4% จากเป้าที่วางไว้ว่าในแต่ละสาขาจะมีการขยายตัวของยอดขายในระดับ 6% ส่วนเป้าหมายของการขยายตัวของยอดขายรวมในปีที่บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้าที่มียอดขายรวม 40,000 ล้านบาทเศษ
“ตลาดรวมวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านมีมูลค่ารวมประมาณ 180,000 ล้านบาท โดยทั่วไปจะมีอัตราการขยายตัวที่ 10% ต่อปี แต่ในปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 5% โดยเฉพาะกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และตกแต่งในตลาดค้าปลีก และส่ง ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่งในตลาดโมเดิร์นเทรด น่าจะมีการขยายตัวที่สูงกว่า 5% เนื่องจากมีการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดจำนวนมาก ประกอบกับลูกค้าหันมาซื้อสินค้าในห้างโมเดิร์นเทรดมากขึ้น สำหรับตลาดโมเดิร์นเทรดในปัจจุบันมีแชร์ตลาดรวมที่ 80,000-90,000 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งในตลาดนี้โฮมโปรฯ มีแชร์ส่วนแบ่งอยู่กว่า 50%”
นอกจากนี้ การหดตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ยังส่งผลต่อจำนวนลูกค้าที่เข้ามาเดินเลือกซื้อสินค้าในโฮมโปรฯ ให้ลดลงไปประมาณ 1% ขณะที่ยอดการซื้อสินค้าต่อใบเสร็จของลูกค้ากลับมีมูลค่าสูงขึ้นถึง 8% ซึ่งเป็นผลมาจากแนวนโยบายการแก้ปัญหาจำนวนลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าลดลง โดยบริษัทได้มีการพัฒนาระบบเซอร์วิส หรือบริการหลังการขาย ทั้งในส่วนของบริการจัดสินส่งค้า และบริการติดตั้งสินค้าให้แก่ลูกค้า รวมถึงการทำ CRM และการเข้าถึงของแบรนด์โฮมโปรฯ ซึ่งทำให้มูลค่าการซื้อต่อใบเสร็จปรับสูงขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวว่า ระบบบริการหลังการขาย และการขนส่งสินค้า สามารถผลักดันให้ยอดขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทจึงมีการลงทุนพัฒนาระบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีโฮมโปรจะใช้งบประมาณในการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบและอุปกรณ์ประมาณ 500 ล้านบาท จากงบลงทุน 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยในอนาคตอันใกล้นี้บริษัทจะเปิดตัวระบบบริการ แอปพลิเคชัน ทางด้านการให้บริการหลังการขาย เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการตรวจสอบข้อมูลสินค้า และยังเป็นการควบคุมคุณภาพงานหลังการขายของบริษัทได้ในตัวด้วย
“ในแต่ละเดือนมีลูกค้าใช้บริการหลังการขายของโฮมโปรฯ ทั้งบริการส่งสินค้า และบริการติดตั้งอุปกรณ์ เช่น งานติดตั้งสุขภัณฑ์จำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยประมาณแล้วมีลูกค้าที่ใช้บริการส่งสินค้าประมาณ 30,000 รายต่อเดือน และมีลูกค้าใช้บริการติดตั้งอุปกรณ์หลังการขายประมาณ 500 รายต่อเดือน”
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง โฮมโปรฯ ยังได้มีการลงทุนขยายสาขาใหม่ในปี 2557 นี้เพิ่มอีก 13 สาขา โดยเป็นการขยายสาขาภายใต้แบรนด์โฮมโปรฯ เพิ่ม 8 สาขา และขยายสาขาเมก้าโฮมเพิ่ม 4 สาขา และมีการขยายสาขาโฮมโปรฯ มาเลเซียเพิ่มอีก 1 สาขา โดยสาขาในมาเลเซียนั้น จะใช้งบลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท”