xs
xsm
sm
md
lg

จับกระแสต่างชาติลงทุนอสังหาฯ เม.ย.เดือด-ไม่เดือด ตัวแปรสำคัญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชื่อว่า ณ เวลานี้ ธุรกิจทุกประเภททั้งอุตสาหกรรม ค้าปลีก ค้าส่ง และอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังชะลอแผนการลงทุนเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ต้นปีมา ต่างก็ใจจดใจจ่ออยูว่าการเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนเมษายน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มตลาดทั้งปี ก่อนตัดสินใจว่าในช่วงครึ่งปีหลังไปนี้จะดำเนินแผนการตลาด และการลงทุนไปในทิศทางใด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง และภาคธุรกิจอสังหาฯ ที่ยังมีหลายๆ บริษัทชะลอแผนการลงทุนมาจนสุดจะอั้นแล้วในเวลานี้

โดยสถานการณ์ตลาดในช่วงต้นปีเป็นต้นมา ค่ายธุรกิจอสังหาฯ หลายๆ ค่ายต่างยอมรับยอดการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ และยอดขายในเดือน ม.ค. โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมนั้นชะลอตัวจากปีก่อนหน้ากว่า 30-50% แต่ต่อมา ในเดือนกุมภาพันธุ์ สถานการณ์ตลาดถือว่าปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม โดยเฉพาะเดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกนี้ ค่ายอสังหาฯ รายใหญ่ถึงกับออกปากว่าเป็นเดือนที่ตลาดฟื้นตัวกลับมาเต็มที่แล้วก็ว่าได้

ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง พฤกษาฯ ถึงกับออกปากว่าในไตรมาสที่ 2 นี้จะมีการปรับเป้ารายได้เพิ่ม พร้อมกันนี้ ก็จะมีการปรับเพิ่มการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่มากกว่า 50 โครงการ จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีจะเปิดตัวโครงการ จำนวน 30-50 โครงการ โดยในกรณีที่ตลาดไม่แย่จนเปิดโครงการใหม่ไม่เกิน 50 โครงการ แต่หากตลาดแย่ก็จะเปิดโครงการใหม่ประมาณ 30 โครงการ แต่ไม่เกิน 50 โครงการ

ล่าสุด หลังจากที่สถานการณ์การเมืองในเดือนมีนาคม มีทิศทางการคลี่คลายที่ดีขึ้น ทำให้ยอดขายเฉพาะในเดือนมีนาคม ถีบตัวสูงถึงถึง 4,600 ล้านบาท จนส่งผลให้มียอดขายในไตรมาสแรกเกินเป้าไปกว่า 1,100 ล้านบาท โดยมียอดขายรวม 8,100 ล้านบาท สูงกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ในไตรมาสแรกที่ 7,000 ล้านบาท ทำให้พฤกษาฯ เตรียมปรับแผนใหม่ในทันที แต่อย่างไรก็ตาม “พฤกษา” ก็ยังไม่ได้มีการประกาศปรับเป้าในทันที ซึ่งเชื่อว่าน่าจะชะลอดูสถานการณ์การเมืองที่เริ่มกลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้งในเดือนเมษายนนี้

ขณะที่ “กานดา พร็อพเพอร์ตี้” ค่ายอสังหาฯ ขนาดกลางนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นอีกค่ายที่สะท้อนตัวเลขยอดขาย และยอดโอนในช่วงไตรมาสแรกออกมาให้เห็นว่า ในไตรมาสแรกนี้ตลาดไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่หลายๆ ฝ่ายกังวล โดยในไตรมาสแรก กานดาฯ สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยได้กว่า 400 ล้านบาท จากวางเป้ารวม 1,400 ล้านบาท ขณะที่ด้านยอดขายก็สามารถทำได้กว่า 485 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าของไตรมาสแรก โดยทั้งปี กานดาวางเป้าวไว้ 1,500 ล้านบาท

จากตัวเลขยอดขาย และโอนของทั้ง 2 ค่ายอสังหาฯ ที่สะท้อนออกมาก นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าตลาดอสังหาฯ จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในปีนี้ ภายใต้ข้อแม้ที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า “ต้องไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้” และข้อแม้ทางการเมืองนี้เองที่เป็นที่มาของการเฝ้าติดตามสถานการเมืองอย่างใกล้ชิดในเดือนเมษายน

นอกจากตัวเลขของยอดขายของค่ายอสังหาฯ ในไตรมาสแรกที่สะท้อนภาพตลาดว่า มีทิศทางที่ดีแล้ว สัญญาณสำคัญอีกหนึ่งตัวที่สะท้อนว่า ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้แน่หากสถานการณ์การเมืองในเดือนเมษายนนี้ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น คือ การหันกลับมาเจรจาหาผู้ร่วมทุน และว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน หรือคอนซัลต์ อย่างบริษัท “คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย” ของกลุ่มทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และกลุ่มประเทศจากยุโรป หลังจากที่มีการชะลอแผนการลงทุน และมีบางรายหันไปพิจารณาเลือกประเทศในกลุ่มอาเซียนในการลงทุนแทนประเทศไทยเริ่มทยอยกลับมาให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง

โดยนายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่ทิศทางการเมืองมีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดี ทำให้มีนักลงทุน และบริษัทขนาดใหญ่กลับมาใช้บริการของบริษัทมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากญี่ปุ่น และจีน ซึ่งจากการพูดคุยกับนักลงทุนพบว่าแม้จะยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งทำให้ยังมีการจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด แต่ก็มีบริษัทข้ามชาติหลายๆ บริษัทติดต่อให้ “คอลลิเออร์ส” ช่วยติดต่อหาบริษัทร่วมทุน หาซื้อที่ดิน หาพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมถึงการหาซื้ออาคารชุด และออฟฟิศเช่าเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ หากในช่วงเดือนเมษายนไม่เกิดปัญหาการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม หรือมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจ และ อุตสาหกรรมโดยรวมกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาฯ ด้วย

โดยกลุ่มทุนจากประเทศจีน สนใจลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่จังหวัดที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนกลุ่มทุนจากฮ่องกง และเกาหลีใต้ นั้นสนใจเทกโอเวอร์อาคาร และสำนักงานเช่าใน กทม. เพื่อลงทุนปล่อยเช่าในอนาคต ขณะที่กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น สนใจหาผู้ร่วมทุน และลงทุนในโครงการอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม เช่นเดียวกับกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์

น.ส.ณุกานต์ สุวัตธิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ คอลลิเอร์สฯ กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายที่ดินในกรุงเทพมหานคร ยังคงมีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่ติดต่อกับบริษัทในช่วงนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนภายในประเทศที่คุ้นเคยกับสภาวะทางการเมืองของประเทศไทย และซื้อที่ดินไปเพื่อพัฒนาใช้เอง หรือเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย

ขณะเดียวกัน ตลาดค้าปลีก และโรงแรมในพื้นที่ กทม.ในไตรมาสแรก ก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในปลายไตรมาสแรก หลังมีการยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากเดิมที่ก่อนหน้า ตลาดโรงแรมซบเซาอย่างหนักในช่วงเดือนมกราคม โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมในช่วง 2 เดือนแรกเพียง 20% เท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางเข้ามาพักใน กทม. กว่า 80% ย้ายไปท่องเที่ยวในภาคใต้ และภาคเหนือแทน ส่งผลให้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรม และที่พักตากอากาศในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต หัวหิน พัทยา สมุย และเชียงใหม่ มีการเข้าพักของนักท่องเที่ยวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ สัญญาณที่ชัดเจนอีกหนึ่งตัวที่สะท้อนว่า หากการเมือองไม่รุนแรงในเดือนเมษายนนี้ กลุ่มนักลงทุนนักธุรกิจจากประเทศจีนที่เคยชะลอการลงทุนออกไป จะทยอยเข้ามาลงทุนกันหนาแน่นในปีนี้คือ การตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันของกลุ่มนักธุรกิจจีน และบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งล่าสุด ได้ประกาศเซ็นสัญญาความร่วมมือเพื่อร่วมลงทุนกับ กรีนแลนด์ กรุ๊ป หนึ่งใน 5 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศไทย

การจับมือกับ กรีนแลนด์ กรุ๊ป ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในการพัฒนาโครงการแรกอสังหาฯ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับ กรีนแลนด์ กรุ๊ป เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรชั้นนำของประเทศจีน โดยมีโครงการก่อสร้างหลายร้อยโครงการ ครอบคลุม 29 จังหวัดของประเทศจีน และมีโครงการอาคารสูงมากเป็นพิเศษ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 23 โครงการ ในจำนวน 23 โครงการนี้มีโครงการที่ติด 10 อันดับแรกของตึกที่สูงที่สุดในโลก

การหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัทขนาดใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะ จีนและญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาลงทุนด้วยตนเอง หรือการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศ สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า ประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเมืองที่ดีที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนแห่งหนึ่ง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อในขณะนี้กลับเป็นตัวบั่นทอน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดแข็งของสถานที่ตั้งของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกลุ่มประเทศอาเซียน ยังคงดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์และปัญหาการเมืองจะไม่เป็นใจมากนัก แต่หากมองเหตุเฉพาะหน้า หรือมองในระยะสั้น แบบช็อตต่อช็อต ภายใต้ข้อแม้ “ไม่มีเหตุการรุนแรงในเดือนเมษายนเกิดขึ้น” เชื่อว่า ในครึ่งหลังของปีนี้ตลาดอสังหาฯ จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

และเป็นประเทศที่จะมีการไหลเข้ามาลงทุนของบรัทข้ามชาติอย่างคึกคักได้ไม่ยาก เพราะขณะนี้เองมีหลายๆ ประเทศจดๆ จ้องๆ กับสถานการณ์การเมืองว่าจะมีทิศทางอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าหากไม่มีสถานการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้น ครึ่งหลังของปีนี้เชื่อว่าจะเห็นกลุ่มนักลงทุน และบริษัทข้ามชาติกลับเข้ามาตัดสินใจลงทุนอีกจำนวนไม่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น