รองผู้จัดตลาดหุ้นไทยเผยเป้า Market Cap หุ้น IPO ปีนี้ไว้ที่ 2.1 แสนล้านบาท จากประมาณการครึ่งปีแรกคาดไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เผยมีบริษัทจดทะเบียนจองวันเทรดแล้วกว่า 14 บจ. และบริษัทยื่นแปลงสิทธิเป็นมหาชนอีกกว่า 60 ราย ส่วน “ภากร” คาดกำไร บจ.ปีนี้ทรุดต่ำกว่าเกณฑ์อาจได้แค่ 8-9% เนื่องจากปัญหาการเมือง และปัจจัยภาษีที่เข้ามากระทบ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า สถานการณ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap หุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในครึ่งแรกของปี 2557 คาดว่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท จากประมาณการตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. มีจำนวนหุ้น IPO ที่กำหนดวันทำการซื้อขายครั้งแรกไว้แล้วกว่า 14 รายการ โดยเป็นบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 6 บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 5 บริษัท นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เตรียมเปิดเข้าทำการซื้อขายอีกจำนวน 3 กอง โดยในจำนวนนี้ได้มีการเข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายไปแล้ว แบ่งเป็นในตลาดหุ้นไทย 3 บริษัท ตลาดหุ้น mai จำนวน 2 บริษัท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2 กอง อย่างไรก็ดี ตลท.ยังคงเป้าหมายมาร์เกตแคปรวมของหุ้น IPO ปีนี้ไว้ที่ 2.1 แสนล้านบาท
“มูลค่าหุ้น IPO เปรียบเทียบระหว่างครึ่งปีแรกของปีนี้กับครึ่งปีแรกของปีที่แล้วอยู่ในระดับที่ดี เพราะบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เข้าใจในสถานการณ์ความขัดแย้งของปัญหาการเมืองภายในประเทศแล้ว และเตรียมที่จะนำบริษัทเข้าซื้อขาย ซึ่งการเริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จะมีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าตอนที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้ว โดยนับจากต้นปีจนถึง ตอนนี้มี IPO ที่จองวันเข้าเทรดกว่า 14 รายการแล้ว มูลค่ารวมกว่าแสนล้านบาท และยังมีที่อยู่ในกระบวนการถึง 39 รายการ เชื่อว่าคงจะทยอยเข้าเทรดได้ในช่วงครึ่งปีหลัง”
อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทฯ ที่รอแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนเพื่อเตรียมยื่นไฟลิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกกว่า 60 บริษัท โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจำนวน 30 บริษัท และตลาดหุ้น mai จำนวน 30 บริษัท ขณะเดียวกัน ยังมีกองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 10 กอง ที่เตรียมจะจัดตั้ง
ขณะเดียวกัน นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 8-9% จากปกติที่มีการเติบโตที่ระดับตัวเลข 2 หลัก ซึ่งถือว่าเป็นการสะท้อนความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง เนื่องจากในปีนี้ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ยุติ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องภาษีนิติบุคคลที่จะหมดอายุอีกด้วย
“อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปีนี้อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนๆ แต่จะสะท้อนพื้นฐาน และความสามารถการทำกำไรที่แท้จริง หลังหมดสิทธิประโยชน์ และการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งจากนโยบายบ้านหลังแรก และโครงการรถคันแรก ตลอดจนถึงเรื่องภาษี โดยจะได้เห็นว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง”