อดีตขุนคลัง “ธีระชัย” มองแนวโน้ม ศก.ไทยครึ่งปีหลังยังน่าห่วง ยอมรับ ศก. อาจชะลอตัวยาว เชื่อความขัดแย้ทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ด้านนายแบงก์ห่วงหนี้ครัวเรื่อนพุ่ง ขณะที่มีแรงกดดันจาก ดบ. อาจกลับไปสู่ระดับสูงขึ้น ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาระหนี้ ขณะที่สภาพัฒน์ยอมรับการลงทุน-ท่องเที่ยวหดตัว
นายธีระชัย ภูวนานรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา “ผลกระทบวิกฤตการเมืองต่อเศรษฐกิจไทย” คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา โดยระบุว่า ตนเองมีความเป็นห่วงว่าปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวถึงช่วงครึ่งปีหลัง เพราะการบริโภคในประเทศชะลอตัว
ทั้งนี้ นายธีระชัย มองว่า ความขัดแย้ทางการเมืองน่าจะคลี่คลายลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะเริ่มมีการเจรจากันบ้างแล้ว ทุกฝ่ายรู้ว่าหากยืดเยื้อออกไปจะกระทบหนักในหลายด้าน เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหากจะกระทบไปยังการจ้างงาน คนขาดรายได้ มีปัญหาหนี้เอ็นพีแอล และกระทบไปยังทุกฝ่าย และหากมีรัฐบาลชุดใหม่ไม่ว่าจะมาจากแนวทางใด อันดับแรกควรหาแหล่งเงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวให้แก่ชาวนา เพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา
ด้านนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หลังจากสหรัฐฯ ได้ทยอยยกเลิกมาตรอัดฉีดเงินออกสู่ระบบ (คิวอี) ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเอเชียอย่างแน่นอน เพราะปัญหาเงินไหลออกกลับไปยังสหรัฐฯ เมื่อเงินไหลออกย่อมส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำกลับไปเริ่มสูงขึ้น กระทบต่อหนี้สินภาคครัวเรือน
โดยยอดภาระหนี้สินสิ้นเดือนธันวาคมปี 2555 มียอด 2.9 ล้านล้านบาท และเมื่อถึงสิ้นปี 2556 มียอดภาระหนี้สินภาคครัวเรือน 3.2 ล้านล้านบาท เพียงปีเดียวหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่ม 3 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มจาก 56,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 72,000 ล้านบาท
ดังนั้น ในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การส่งออกกลับมาเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในช่วงเดือนมกราคมการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยุโรป จีน อาเซียนขยายตัวสูงมาก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ขยายตัวสูงร้อยละ 6.8 ทั้งประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม
สำหรับปัญหาการเมืองคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกคงยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อมาดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้ หากในครึ่งปีหลังยังจัดตั้งไม่ได้อีก จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างสาหัส เพราะไม่สามารถจัดทำงบปี 2558 งบลงทุนไม่ออกสู่ระบบมีแต่งบประจำ จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมหาข้อยุติโดยเร็วเพื่อให้มีรัฐบาลโดยเร็วที่สุด โดยเป็นรัฐบาลที่สามารถทำงานได้ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจัง
ขณะที่ นายปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า จากปัญหาการเมืองกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน การไม่สามารถจัดทำงบปี 2558 ได้ตามกำหนด จึงทำให้งบปี 2558 ในช่วงปลายปีนี้ เงินลงทุนต้องหายไป 90,000-100,000 ล้านบาท เงินลงทุนภาครัฐหายไปจากแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท และแผนบริหารจัดการน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท ยอดการท่องเที่ยวหดหายไปจึงทำให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติคงไม่ถึง 28 ล้านคนตามเป้าหมาย
ดังนั้น สศช. จึงอาจต้องปรับเป้าหมายจีดีพีจากร้อยละ 3-4 แต่ในปีนี้หากจะทำให้จีดีพีขายตัว ต้องเน้นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก โดยเปลี่ยนจากปีก่อน การส่งออกขยายตัวร้อยละ 0 จีดีพีขยายตัวร้อยละ 2.9 แต่ในปีนี้การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5-7 แต่เศรษฐกิจประเทศขยายตัวน้อยลง
