QH ขยายลงทุนต่างจังหวัด เล็งเพิ่มรายได้จากต่างจังหวัดจาก 10% ในปี 56 เป็น 15% ในปี 57 เผยเตรียมเปิดตัว “คิว ซีไซด์” คอนโดฯ หรูติดหาด 2 แปลงสุดท้ายในหัวหิน พร้อมบุกตลาดชลบุรีหลังพบรายได้ประชากรสูง ล่าสุด ส่งคอนโดฯ แบรนด์ “เดอะ ทรัสต์” ลุยตลาดนิคมอมตะ เล็งเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการในชลบุรี
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า จากแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดมีแนวโน้มเติบโต กำลังซื้อมีมากขึ้น ทำให้บริษัทมีแผนขยายการลงทุนในต่างจังหวัดมากขึ้น เน้นไปที่หัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว หรือเมืองอุตสาหกรรมโดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วน 15% ของรายได้ จากที่ปี 2556 มีรายได้จากต่างจังหวัดเพียง 10% ส่วนอีก 85% จะเป็นการลงทุนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยการลงทุนในต่างจังหวัดจะเน้นไปที่คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด
ในปี 2557 จะพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ “เดอะ ทรัสต์” ประมาณ 11 โครงการ และภายใต้แบรนด์ “คิว ซีไซด์” 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาใน กทม.7 โครงการ และต่างจังหวัด 5 โครงการ สำหรับโครงการ คือ “คิว ซีไซด์” ถือเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ โดยจะพัฒนาโครงการแรกที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี บนเนื้อที่ 7 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 4-7 ชั้น จำนวน 7 อาคาร ขนาด 40-120 ตารางเมตร ราคา 5-20 ล้านบาท หรือ 1.4-1.6 แสนบาท/ตารางเมตร รวม 220 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาส 2/2557 นี้
ด้านนายไพโรจน์ วัฒนวโรดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ QH กล่าวเสริมว่า ตลาดคอนโดฯ จากผังเมืองของหัวหินที่ไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงติดชายหาด ทำให้มีที่ดินเพียงไม่กี่แปลงที่สามารถก่อสร้างคอนโดฯ ติดชายหาดได้ โดยปัจจุบันพบว่ามีเพียง 2 โครงการ คือ โครงการคิว ซีไซด์ ของบริษัท และอีก 1 โครงการ ของผู้ประกอบการรายอื่น จึงทำให้เชื่อว่าโครงการ คิวซีไซด์ แม้จะตั้งราคาขายที่ 5-20 ล้านบาท แต่จะเป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งจากกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัดเพราะสินค้ามีจำนวนจำกัด และเชื่อว่าหลังการเมืองนิ่งกำลังซื้อจะกลับมามากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหัวหิน ชะอำ พบว่า มีอัตราการขายช้า โดยเฉพาะโครงการที่เปิดขายใหม่ และยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างจะมียอดขายช้า แต่สำหรับโครงการที่สร้างแล้วเสร็จจะมียอดขายที่ดีกว่า นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าด้วยสภาวะเศรษฐกิจในช่วงขาลง และการเมืองที่ยังร้อนแรง จะส่งผลให้ระยะเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ ขยายจาก 6 เดือน เป็น 8-10เดือน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายการลงทุนคอนโดมิเนียมไปยัง จ.ชลบุรี เนื่องจากพบว่า ชลบุรี ถือเป็นจังหวัดที่มี GDP รวมถึงรายได้ของประชากร เป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ กำลังซื้อมีศักยภาพแม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว แต่ชลบุรี มีเมืองท่องเที่ยวสำคัญ มีนิคมอุตสาหกรรม ทำให้ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศน้อย
ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการ เดอะทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี เป็นคอนโดมิเนียม ตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่เศษ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ติดถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี ตรงข้ามนิคมอมตะนคร ขนาด 23-29 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท จำนวน 518 ยูนิต มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท โดยช่วงเปิดพรีเซล 3 เดือนที่ผ่านมา มียอดขาย 20% หรือประมาณ 100 ยูนิต ลูกค้าทั้งหมดเป็นคนทำงานในนิคมฯ อมตะ และคนท้องถิ่น ไม่มีลูกค้าจากกรุงเทพฯ
“เหตุผลที่เปิดโครงการทำเลนี้เพราะมองว่ามีกำลังซื้อจากกลุ่มคนทำงานในนิคมฯ ซึ่งได้รับเงินสวัสดิการเช่าที่พักรายเดือน โดยพบว่าในละแวกนิคมมีอพาร์ตเมนต์ 5-6 พันยูนิต ค่าเช่าตั้งแต่เดือนละ 5-8 พันบาท ใกล้เคียงกับเงินผ่อนคอนโดฯ ราคากว่า 1 ล้านบาท” นายไพโรจน์ กล่าว
สำหรับการลงทุนในชลบุรี ปีนี้จะมี 4 โครงการ ทั้งคอนโดฯ, บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด และ เดอะ ทรัสต์ คอนโด อมตะ-ชลบุรี, เดอะ ทรัสต์ คอนโด พัทยาเหนือ, เดอะ ทรัสต์ วิลล์ มิตรสัมพันธ์ และเดอะ ทรัสต์ ทาวน์ บ่อวิน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/2557 นี้ ยอดขายแบรนด์ “เดอะ ทรัสต์” และโครงการในต่างจังหวัดเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1,200 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 7,500 ล้านบาท คาดว่าจะมียอดโอนประมาณ 5,000 ล้านบาท