xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ห่วงต่างชาติขนเงินหนี-ศก.เสี่ยงสูง-การเมืองไร้ทางออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แบงก์ห่วงสถานการณ์ทางการเมืองมีความเสี่ยงสูงขึ้น หลังเลือกตั้งล้มเหลว ระบุหากยืดเยื้อเกินกว่า 6-12 เดือน ต่างชาติอาจหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน พร้อมเตรียมปรับลดเป้าจีดีพีทั้งปี

นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะท้าทายจากปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง การคาดการณ์่ต่างๆ ทำได้ยาก มีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ทำงาน

“ประเทศไทยไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน เพราะลงทุนภาครัฐออกมาไม่ได้ตราบใดที่รัฐบาลยังเป็นรัฐบาลรักษาการ การลงทุนภาคเอกชน และบริโภคก็คงเกิดขึ้นยาก เพราะไม่มีความมั่นใจในปัญหาการเมือง ซึ่งจริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ำกว่าพื้นฐาน แต่เราขาดแรงขับเคลื่อนเท่านั้นเอง”

สำหรับกรณีที่มีบริษัทจัดอันดับเครดิตจะปรับมุมมองประเทศไทยนั้น นายบรรยง กล่าวว่า ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนมุมมองดังกล่าว

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ทางภัทร อยู่ระหว่างการปรับประมาณจีดีพีของไทยจากเดิมที่คาดว่าในครึ่งปีแรกจะเติบโตได้ 0.6% และเติบโตได้ 5%ในครึ่งปีหลัง หรือทั้งปีที่ 2.8% ภายใต้สมมติฐานที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ในครึ่งปีแรก แต่สถานการณ์ขณะนี้คงเป็นไปได้ยาก

โดยหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.เป็นโมฆะแล้ว โดยความเห็นส่วนตัวก็คิดว่าค่อนข้างจะชัดเจนว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป คงจะสำเร็จได้ยาก ขณะที่หากการเลือกตั้ง ส.ว.สามารถทำได้ ก็มีโอกาสท่่จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 ได้ แต่ก็จะมีแรงต่อต้านจากอีกฝ่ายเช่นกัน ดังนั้น คงจะเป็นเรื่องที่คาดหวังได้ยากว่าเราจะมีรัฐบาลปกติที่ได้ในเร็ววันนี้ หรือในครึ่งปีแรก

ดังนั้น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ก็คงจะต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งก็คงจะเติบโตได้ในระดับใกล้เคียงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณการไว้ 4-5%

หว่งการเมืองยื้อต่างชาติโยกเงินลงทุน

นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า การปรับมุมมองประเทศไทยของบริษัทจัดอันดับเครดิตนั้น เท่าที่เห็นอยู่ก็มี 2 บริษัท ได้แก่ ฟิทช์ เรทติ้ง และมูดี้ส์ ที่ออกกล่าวเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นเพราะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และตามกระบวนการปกติ หากมีการปรับมุมมองแล้ว และเหตุการณ์เป็นไปตามมุมมองนั้น ก็จะลดอันดับเครดิตใน 1 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ จากสภาวะความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นนั้น เท่าที่ได้ฟังความคิดเห็นจากนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่นแล้ว ประมวลได้ว่า เขายังเก็บประเทศไทยไว้เพื่อรอการลงทุนอยู่ภายใต้การคาดการณ์ว่าจะมีระฐบาลใน 2-3 เดือน แต่หากการจัดเลือกตั้งลากยาวไปถึง 6-12 เดือน จะต้องทบทวนการลงทุนอย่างหนัก ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น