“บรรยง” ระบุรายย่อยเทรดแรงเกินไปวันละ 7-8 รอบ น่ากังวล เตือนนักลงทุนดูข้อมูลย้อนหลังในหุ้นเล็กก่อนเข้าลงทุน เหตุบางตัวราคาเคลื่อนไหวผิดปกติ ประเมินมีฟองสบู่แค่กลุ่มเดียว ไม่สร้างผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นมากนัก คาดหากปี 56 วอลุ่มเฉลี่ย 5 หมื่นล้าน/วัน ทั้งปีมีเม็ดเงินหมุนเวียน 12.55 ล้านล้าน
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทย ว่า ในปัจจุบันนักลงทุนทั่วไปมีการเทรดหุ้นประมาณ 18% ของสภาพคล่อง (ฟรีโฟลต) ที่มีอยู่ทั้งตลาดประมาณ 40% โดยมีการซื้อขายหุ้นหมุนเวียนกันถึง 2.2 รอบในแต่ละวัน ขณะที่นักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาว มีการซื้อขายในตลาดหุ้นต่อวันไม่ถึงรอบ นับเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะปริมาณการลงทุนที่สูงขึ้นนี้เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนา พบว่า มีอยู่เพียง 2 ตลาด นั่นคือ ตลาดหุ้นไทย กับตลาดหุ้นไต้หวัน อีกทั้งส่วนมากยังเป็นการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
“หากคิดปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยในปี 2556 อยู่ที่วันละ 5 หมื่นล้านบาท ตลอด 1 ปี มีวันเทรดประมาณ 250 วัน จะพบว่าทั้งปีมีปริมาณเทรดถึง12.55 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับมาร์เกตแคปปัจจุบัน และคิดเป็น 2.2 เท่าของฟรีโฟลตทั้งตลาด แสดงว่านักลงทุนทั่วไปมีการเทรดแบบซื้อขาย 7-8 รอบต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งจะมีบางกลุ่มถืออยาวไม่เทรดบ่อย แต่ก็มีหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่อีกกลุ่มอันตรายมากเพราะเทรดเยอะ ซึ่งในประวัติศาสตร์คนที่เทรดบ่อยระยะะยาว และสามารถทำกำไรได้มีเพียงบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือที่เรียกกันว่า Prop Trade เท่านั้น”
ทั้งนี้ เมื่อแบ่งประเภทของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดออกเป็น 2 กลุ่ม จะพบว่า หุ้นใน Set 100 มีขนาดมาร์เกตแคปถึง 85% ของทั้งหมด ขณะที่หุ้นนอกเหนือจากนั้นเกือบ 500 บริษัท คิดเป็นมาร์เกตแคปเพียง 15% ของทั้งตลาด แต่เวลาเทรดหุ้นใน Set 100 มีการซื้อขายจริง 65% ขณะที่หุ้นขนาดเล็กมีการซื้อขายสูงถึง 30%
“มีหุ้นเล็กกว่า 10 หุ้นที่อันตราย 6 ปีก่อนหุ้นเล็กมีการเทรดประมาณ 30% ต่อมา ก็ปรับตัวลดลงเหลือ 20% ตอนนี้กลับมา 30% เช่นบางตัวทุนจดทะเบียน 100 ล้านหุ้น ฟรีโฟลต 30 ล้านหุ้น แต่อาทิตย์เดียวเทรดกัน 100 กว่าล้านหุ้น ถือเป็นหุ้นที่เคลื่อนไหวผิดปกติ ไร้เหตุผลในการเข้าไปลงทุน บางตัว P/E สูงมาก 50-100 เท่า ของแบบนี้อยากให้นักลงทุนดูข้อมูลย้อนหลังประกอบด้วย”
ส่วนกรณีฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้นนั้น นายบรรยง กล่าวว่า ตอนนี้ทั้งตลาดหุ้นไทยยังไม่เกิดฟองสบู่แตก แต่เป็นฟองสบู่ที่เกิดขึ้นบางจุด ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก โดยหุ้นใน Set 50 ประมาณ 70% ของฟรีโฟลตถือครองโดยนักลงทุนต่างประเทศ และมีการซื้อขายจริงประมาณ 15% จึงไม่น่ากังวล แต่หุ้นขนาดเล็กแม้ฟองสบู่แตก ก็เชื่อว่าจะมีผลกระทบกับทั้งตลาดไม่มาก เพราะไม่ใช่กลุ่มหลัก โดยอาจกระทบกับราคาหุ้นขนาดใหญ่บางตัวบ้างเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่หุ้นใหญ่หากมีปัญหาฟองสบู่แตก เชื่อว่ามีผลกระทบต่อภาพรวมมากกว่า