ประธานสภาธุรกิจตลาดทุน มองสัญญาณทางการเมืองเริ่มดีขึ้น หากทุกอย่างเข้าสู่ระบบได้หุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 1,400 จุด และเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3% ระบุคำตัดสิน พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน ไม่ชอบเรื่องที่มาของการใช้งบประมาณ แต่ไม่ได้ระบุว่าโครงการนี้ไม่ดี ชี้ไฮสปีดเทรนอาจตกราง แต่โครงการอื่นๆ น่าจะเดินหน้าได้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุน กล่าวถึงกรณีรัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และหันมาใช้ พ.ร.บ.ความั่นคง แทน โดยเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก เพราะตั้งแต่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มา 2 เดือน ทำให้นักลงทุนรายใหญ่จากต่างเทศที่จะเข้ามาดูงาน และศึกษาบริษัทในไทยต่อการลงทุนชะลอออกไป แต่เมื่อไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะเดินทางมาเมืองไทยเพิ่มขึ้น และยังจะเป็นผลดีในแง่ด้านการท่องเที่ยวของไทย รวมทั้งในด้านอื่นๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าขณะนี้สัญญาณทางการเมืองจะเริ่มดีขึ้น และยังเชื่อว่าหากมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมารักษาการในช่วงครึ่งปีนี้ ก็น่าจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าขณะนี้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาเป็นบวกขึ้น โดยตอนนี้อยู่ที่ 1.350 จุด ดังนั้น หากทุกอย่างเข้าสู่ระบบได้หุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 1,400 จุด และเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3
นอกจากนี้ มีนักลงทุนได้สอบถามเกี่ยวกับโครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น โดยหากดูคำตัดสิน โครงการนี้ไม่ชอบเรื่องที่มาของการใช้งบประมาณ โดยศาลไม่ได้ระบุว่าโครงการนี้ไม่ดี ดังนั้น เชื่อว่าในตัวโครงการรถไฟความเร็วสูงอาจจะต้องมีการทบทวน แต่เชื่อว่าในส่วนโครงการพัฒนาระบบราง และอื่นๆ น่าจะเดินหน้าโครงการได้ตามกรอบของงบประมาณปกติ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ และเป็นเรื่องของอนาคต เพราะหลายโครงการประเทศไทยมีความจำเป็นต้องมีระบบขนส่งที่ทันสมัย เพื่อรองรับต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อไป