xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นเช้ารีบาวนด์ 11 จุด ทิศทางยังเป็นขาขึ้น เผยสัญญาณเม็ดเงินไหลเข้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หุ้นปิดครึ่งวันเช้ารีบาวนด์ 11 จุด เผยทิศทางยังเป็นขาขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากสัญญาณเม็ดเงินไหลเข้าตลาดในภูมิภาค และตลาดหุ้นเกิดใหม่ ชี้กลุ่มแบงก์พาณิชย์น่าสนใจ ราคายังต่ำ แนวโน้มกำไรโตเกิน 13% โบรกฯ ปรับน้ำหนักในการลงทุน ระบุ “ธ.กรุงไทย” โดดเด่นสุด “มูดี้ส์” คงอันดับความน่าเชื่อถือ “ธ.ไทยพาณิชย์” มีเสถียรภาพทั้งหมด

ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 มี.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,368.32 จุด เพิ่มขึ้น 11.90 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.88% มูลค่าการซื้อขาย 16,573.92 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อกลับในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากเมื่อวานนี้ตลาดได้ปรับตัวลงแรง

นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะเมื่อวานนี้ตลาดปรับตัวลงเยอะ ขณะที่ภาวะตลาดยังเป็นช่วงขาขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากสัญญาณเม็ดเงินไหลเข้าตลาดในภูมิภาค และตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยประเมินว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาปัจจุบันไม่แพง และให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยมองว่าในปี 2557 จะมีกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 13%

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยช่วงไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดไว้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก แม้จะมีปัจจัยลบทางจิตวิทยาจากสถานการณ์ในยูเครน แต่มองว่าจะกระทบหุ้นในยุโรปมากกว่า

ทั้งนี้ การที่ตลาดฯปรับตัวขึ้นได้คาดว่าจะเป็นผลจากเงินทุนไหลกลับเข้ามาที่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีเงินทุนไหลเข้ามาที่ตลาดเกิดใหม่ และตลาดในเอเชีย โดยสังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้น และค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ซึ่งอาจเป็นผลจากที่มูลค่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่ถูกกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว

นอกจากนี้ นักลงทุนคงจะเห็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจจะไม่รีบลดการใช้มาตรการผ่อยคลายทางการเงิน (QE) ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 18-19 มี.ค.นี้ เพื่อให้ตลาดฯ มีการฟื้นตัว จึงน่าจะคงใช้ QE ที่ 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐอยู่ หลังจากที่ได้ลดไปแล้ว 2 ครั้ง ดังนั้น เม็ดเงินจึงได้ไหลกลับเข้ามาที่ตลาดเกิดใหม่

นอกจากนี้ มีบางประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว ดังนั้น ที่สุดแล้วก็อาจจะมีภูมิคุ้มกันไม่ให้ลงไปลึกอีก อย่างตลาดจีนตอนนี้เทรด P/E ลงมาเหลือแค่ 7 เท่า ซึ่งถูกมาก แต่การจะทำให้ลงหนักไปกว่านี้ คงจะเป็นไปได้ยาก

สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศมีผลต่อตลาดค่อนข้างน้อย เนื่องจากตลาดได้รับรู้ข่าวไปมากแล้ว และจากนี้ไปถ้าไม่มีอะไรที่รุนแรง เชื่อว่าตลาดก็ไม่กลัว ซึ่งทุกคนก็มองว่ายากที่จะเกิดความรุนแรง อย่างไรก็ดี คงจะต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศต่อไป

แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายกิจพล กล่าวว่า ตลาดฯ อาจจะลดช่วงบวกลง เพราะปกติในเดือนมีนาคมมักจะมีแรงขายทำกำไรออกมา หลังจากที่หมดช่วงฤดูการประกาศผลประกอบการและปันผลแล้ว พร้อมให้แนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,368-1,375 จุด

ทั้งนี้ ได้แนะนำให้เลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว โดยให้เลือกหุ้นที่ยังไม่ค่อยปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว อย่างหุ้นในกลุ่มส่งออก ส่วนกลุ่มอาหารที่หลายตัวปีนี้จะ Turnaround และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า เป็นต้น

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET ประเมินหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ภายหลังจากได้ผลกระทบต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.25% เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาดส่วนใหญ่ สำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในครั้งนี้เป็นความพยายามที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา หลังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ รวมถึงผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง

ในแง่ของธนาคารพาณิชย์ MBKET คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ตามลงมา เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อที่สัญญาณการชะลอตัวเริ่มชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ของสภาพคล่องปัจจุบันถือว่าค่อนข้างตึงตัวเช่นกัน โดย L/D ratio ของธนาคารพาณิชย์ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เราจึงมองว่ามีโอกาสเห็นการปรับลดของดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากในอัตราที่น้อยกว่า 0.25%

ทั้งนี้ MBKET ได้ทำการประเมินผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หากดอกเบี้ยธนาคาร (เงินฝาก-เงินกู้) มีการปรับตัวลดลง เรามองว่าธนาคารขนาดกลางเล็ก (TISCO, TCAP, KKP) น่าจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ แต่ธนาคารขนาดใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์จาก NIM ที่น่าจะลดลง แต่ผลกระทบไม่มากนัก นอกจากนี้ ยังมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้อยู่ในความคาดการณ์ของเราซึ่งเราได้รวมไว้ในประมาณการของเราแล้ว

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ แม้ในระยะสั้นยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในระยะยาวยังถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง เรายังเชื่อว่าเศรษฐกิจพร้อมที่จะฟื้นตัวได้หากปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลาย

โดยภาพสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้เราคาดเติบโต 8% (ต่ำสุดในรอบ 5 ปี) โดยสินเชื่อน่าจะค่อยๆ เร่งตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ประเด็นด้านคุณภาพสินเชื่อ แม้ว่าโดยรวมจะยังถือว่ามีความเสี่ยง แต่น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งโดยรวมเราคาดกำไรสุทธิปี 2557 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเติบโต 13.5% (หากไม่รวมกำไรจากการควบรวมกิจการของ BAY จะเติบโต 11.2%)

ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการรีบาวนด์ขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่เคยปรับตัวลงไปซื้อขายที่ระดับ 1.2 เท่า PBV (-1S.D.) อย่างไรก็ตาม Valuation ในปัจจุบันยังอยู่ว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพง และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 1.37 เท่า PBV และ 8.9 เท่า PER ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ปัจจุบันเรายังคงให้น้ำหนัก Neutral แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ก็พร้อมที่จะปรับเพิ่มน้ำหนักเป็น Overweight อีกครั้ง หากปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลาย โดยยังคงเลือก KTB เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม

ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินบาททั่วโลกของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ระดับ A3/Prime-2 และอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศที่ Baa1/Prime-2 ขณะเดียวกัน มูดี้ส์ คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ SCB ที่ระดับ C- โดยอันดับฐานประเมินความน่าเชื่อถือ (BCA) อยู่ที่ baa2 ขณะที่แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหมดมีเสถียรภาพ

มูดี้ส์ฯ ระบุว่า การคงอันดับ BCA ของ SCB สะท้อนมุมมองที่ว่า ธนาคารจะยังคงแสดงถึงลักษณะความน่าเชื่อถือของธนาคารที่สอดคล้องกับอันดับ baa2 สำหรับอันดับเครดิต BCA นี้พิจารณาถึงเครือข่ายเงินฝากที่แข็งแกร่ง รวมถึงทุนจดทะเบียนในระดับสูง และคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากกำไรในระดับสูงจากบัญชีเงินกู้ลูกค้ารายย่อยที่ให้ผลตอบแทนสูง

ทั้งนี้ สภาพคล่องที่แข็งแกร่งของ SCB ยังช่วยหนุนอันดับ BCA ด้วย ขณะที่เงินฝากของลูกค้าที่ไม่ใช่ธนาคารเป็นเงินทุนสำหรับการปล่อยสินเชื่อทั้งหมด และคิดเป็น 72% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของธนาคาร ขณะที่ SCB รายงานอัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝากที่ระดับ 96% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2556
กำลังโหลดความคิดเห็น