“ไทยออยล์” คาดการณ์กำไรหด โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หลังปิดปรับปรุงโรงกลั่นนาน 55 วัน ส่งผลให้ GIM ลดลงหากเทียบกับปีก่อนด้วย ในขณะที่ GRM คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการกลั่นได้ดีขึ้นถึง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนผลกระทบราคาน้ำมันจากความขัดแย้งของยูเครน และรัสเซีย กระทบจิตวิทยาเพียงระยะสั้นเท่านั้น
นายฉัตรฐาพงศ์ วังธนากร ผู้จัดการฝ่ายวางแผนพาณิชย์ บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP กล่าวว่า บริษัทประมาณการกำไรในปีนี้ที่จะลดลงจากปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากการที่บริษัทได้ปิดทำการซ่อมบำรุงโรงกลั่นเป็นเวลา 55 วัน โดยจะส่งผลต่อค่าการกลั่นรวม หรือ GIM ลดลงหากเทียบกับปีก่อนด้วย เนื่องจากโรงกลั่นจะมีซัปพลายใหม่จากเกาหลีเข้ามาแข่งขันในตลาด ขณะเดียวกัน ในส่วนของค่าการกลั่นเฉลี่ย หรือ GRM คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการกลั่นได้ดีขึ้น หลังจากการปรับปรุงโรงกลั่นใหม่ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพกำลังการผลิตได้มากถึง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน
ในส่วนของการเข้าไปลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นในประเทศพม่านั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาสที่ 3 ของปี เนื่องจากกำลังการผลิตของพม่าหากปรับปรุงโรงกลั่นเดิมที่ไม่ได้พัฒนามากว่า 10 ปี ที่มีกำลังการกลั่นอยู่ที่ 1 แสนบาร์เรล/วัน แต่สามารถกลั่นได้เพียง 7 หมื่นบารืเรล/วัน เท่านั้น ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทเข้าไปเจรจากับ บริษัทเปอร์ตามิน่า บริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเบื้องต้นศึกษาร่วมกันจะผลิต WAX ที่ใช้เป็นส่วนประกอบเคมีในการเคลือบไม้ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าบาติก ซึ่งมีความต้องการโรงกลั่นอีกอย่างน้อย 3 โรง เพื่อให้เพียงพอต่อกระบวนการผลิต
ในส่วนของผลกระทบต่อราคาน้ำมันจากความตึงเครียดกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศยูเครนและรัสเซียนั้น อาจส่งผลต่อจิตวิทยาราคาน้ำมันในตลาดโลกเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ขณะที่ส่วนของราคาพาราไซลีน คาดว่าจะมีราคาถูก และคาดการณ์สถานการณ์ตลาดยากเนื่องจากจะทำการขึ้นโรงกลั่นทีหลัง ส่วนราคา และความต้องการของเบนซีนนั้น จะมีราคาดีขึ้นจากความต้องการในสหรัฐฯ ที่ไม่มีโรงกลั่น
