xs
xsm
sm
md
lg

“ทรีนิตี้” คาดหุ้นไทยฟื้นตัวครึ่งปีหลัง แนะจับตาการเมืองระอุ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บล.ทรีนิตี้ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยวิกฤตหนักกว่าปี 53 จาก  Basis Point พุ่งขึ้นถึง 1.7% แนะนักลงทุนพิจารณาความเสี่ยง ชี้โอกาส SET INDEX มีแนวโน้มปรับฟื้นตัวแตะทดสอบ 1,350 จุด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยขณะนี้ปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายในประเทศที่มีผลมากจากความขัดแย้งทางการเมือง อีกทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประสบปัญหาขาดทุนในหลายบริษัท (อ้างอิงจากค่าประกันความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตร หรือ Credit Default Swap Spreads) โดยขณะที่ปัจจุบันดัชนีค่าความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้จะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราการรับประกันความเสี่ยงของภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น  ซึ่งพิจารณาในขณะนี้ค่าดัชนีสูงกว่าสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 150 Basis Point  หรือ 1.5% ในขณะเดียวกันที่สถานการณ์ขณะนี้ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 170 Basis Point หรือ 1.7% ซึ่งสภาวะตลาดให้ความสำคัญต่อความรุนแรงทางการเมืองค่อนข้างมาก แม้จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเท่ากับการเผาเมืองเช่นปี 2553

อย่างไรก็ดี สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากคือ กำไรจากการลงทุนที่มาจากบริษัทจดทะเบียนประสบปัญหาขาดทุน ซึ่ง SET INDEX มักจะชี้นำ EPS อยู่อย่างน้อย 2 ไตรมาส ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าการปรับตัวลดลงของ SET INDEX ในช่วงที่ผ่านมาเป็นการสะท้อนราคาผลประกอบการที่ลดลงในไตรมาสที่ 1 และ 2 ไปแล้ว ซึ่งถ้าหากการเมืองมีข้อสรุปที่ชัดเจนภายในครึ่งปีแรก คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มปรับฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยจะเริ่มทยอยปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงนี้

ในขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวขึ้นสูงแตะระดับที่ 1,350 จุด จาก valuation gap ระหว่างหุ้นไทยกับตลาดหุ้นโลก กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่การปรับตัวขึ้นของดัชนีคาดว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนยังถูกกระทบจากปัจจัยทางการเมือง

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดีจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น คือ หุ้นกลุ่มอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ การเดินเรือ ปิโตรเคมี แต่อย่างไรก็ตาม หุ้นที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจภายในที่มีการปรับตัวลดลงมาแรง เริ่มมีความน่าสนใจในแง่ของการประเมินมูลค่าหุ้นกับสินทรัพย์บริษัทที่ปรับตัวลดลง ในส่วนของการลงทุนหุ้นภายในประเทศขณะนี้ควรเลือกหุ้นที่มีปริมาณการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในระดับต่ำ เนื่องจากจะเป็นเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนต่างประเทศของเม็ดเงินในรอบถัดไป เช่น หุ้นของ HMPRO, GLOBAL อย่างไรก็ดี คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในรอบถัดไปจะเข้ามาในช่วงกลางปีนี้ จากยูโรโซน และประเทศญี่ปุ่น  โดยคาดการณ์จากธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB (European Central Bank) ที่อาจจะมีการลดดอกเบี้ยลง หรือออกโครงการ  LTRO อีกครั้งเพื่อป้องกันเงินฝืดภายในประเทศ หลังจากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 4 ปี ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะมีการผลักดันสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีแก่ภาคธุรกิจ เพื่อมาทดแทนการขึ้นภาษีการขาย หรือ Sales Tax ที่มีกำหนดในช่วงเดือนเมษายนนี้

อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญคือ ADVANC, INTUCH ซึ่งมองว่าภาวะตลาดหุ้นได้รับรู้สถานะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการโอนย้ายค่ายของผู้ใช้บริการ ที่มีทั้งย้ายเข้า และย้ายออกในอัตราสัดส่วนไล่เลี่ยกัน นอกจากนี้ หากวิเคราะห์ด้วยส่วนชดเชยความเสี่ยง หรือ Equity Risk Premium ก็จะพบว่าหุ้นทั้ง 2 มี downside risk ที่จำกัดเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนในหุ้นแยกตามประเภท คือ กลุ่มอ้างอิงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก เช่น CPF, TUF, SVI ,HANA กลุ่มเดินเรือที่ควรรอสะสมตอนอ่อนตัว เช่น TTA, PSL กลุ่ม Domestic ที่นักลงทุนถือครองในระดับที่ต่ำมากแล้ว เช่น HMPRO, GLOBAL ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ราคาปรับตัวลดลงต่ำเกินไป เช่น INTUCH ส่วนหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่มีระดับ  ราคาปิดต่อมูลค่าตามบัญชีที่ต่ำลง เช่น BBL ซึ่งลดลงกว่า 1 เท่า ซึ่งมีราคาต่ำมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น