“น้ำตาลครบุรี” โชว์ผลการดำเนินงานปี 56 มีรายได้รวม 5,972 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 501 ล้านบาท แม้ภาวะราคาน้ำตาลตลาดโลกจะอยู่ในช่วงที่เป็นขาลงตลอดปี 2556 บอร์ดใจป้ำอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ 0.50 บาท “ทัศน์” เผยกลยุทธ์ปี 57 จะเดินหน้าทั้งแผนระยะสั้น กลาง ยาว มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงด้านวัตุดิบ ทั้งขยายพื้นที่เพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนให้เกษตรกร พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และตลาดใหม่ รวมทั้งรุกสู่ธุรกิจด้านพลังงานเต็มพิกัด วางเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6,500 ล้านบาท โดยโรงไฟฟ้าชีวมวล 35 เมกะวัตต์ เริ่มขายไฟให้แก่ กฟผ. เดือนเมษายนนี้ คาดสร้างกำไรปีนี้ประมาณ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทกำลังศึกษาโครงการขยายธุรกิจ 3 โครงการ เพื่อวางโครงสร้างการเติบโต 3 ปีของบริษัท
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2557 ว่า จะมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงของวัตถุดิบ คือ อ้อย โดยมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมชาวไร่อ้อยที่มีศักยภาพให้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อย รวมทั้งชักชวนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชอื่นมาปลูกอ้อย เพราะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ต่อปี เป้าหมายนี้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูง เพราะทางภาครัฐเองก็มีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาเปลี่ยนจากการทำนาดอนนอกเขตชลประทาน มาปลูกอ้อย พื้นที่จองปลูกอ้อยในฤดูปลายฝนของบริษัทก็มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนชาวไร่ โดยส่งเสริมปัจจัยการเพาะปลูก วิชาการเพาะปลูก และจัดหาเครื่องจักรกลเกษตร ทั้งรถไถ รถตัดอ้อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวไร่ตลอดปี ด้านการขาย และการตลาด บริษัทฯ มุ่งเน้นให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในส่วนของการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มมิตซุย ได้ร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และขยายกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด
“การพัฒนาเรื่องความมั่นคงของวัตถุดิบ ทั้งการขยายพื้นที่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนของชาวไร่ และคุณภาพอ้อย เป็นเรื่องที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นหัวใจของธุรกิจนี้ ฝ่ายขายและการตลาดเองก็มีเป้าหมายที่จะต้องคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มสร้างมูลค่าเพิ่ม และจะต่อยอดธุรกิจ โดยลงทุนเพิ่มกำไรจากผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลให้มากที่สุด”
KBS ได้ลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากกากอ้อยขนาด 35 เมกะวัตต์ เริ่มโครงการตั้งแต่กลางปี 2555 โดยกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ผลิตได้จะส่งกลับให้โรงน้ำตาล KBS โรงไฟฟ้าโรงใหม่นี้เป็นแบบ High Pressure ซึ่งมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง เมื่อเริ่มดำเนินการจะสร้างความมั่นคงให้แก่โรงงานน้ำตาลในช่วงฤดูหีบมาก กระแสไฟฟ้าที่เหลือประมาณ 22 เมกะวัตต์ จะจำหน่ายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนเมษายน 2557 นี้
ขณะนี้ความต้องการใช้เอทานอลสูงขึ้นร้อยละ 80 ในปี 2556 เนื่องจากการส่งเสริมเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยให้มีการยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ตั้งแต่ต้นปี 2556 การลงทุนในธุรกิจเอทานอลจึงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลเพราะมีความมได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบ (Feed stock) และต้นทุนการขนส่ง และการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ทีมงาน KBS กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ น่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้สำหรับฤดูกาลผลิต 2556/57 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2556 KBS มีอ้อยเข้าหีบแล้ว 1.6 ล้านตัน มีเป้าหมายมีอ้อยเข้าหีบทั้งปี 2.67 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอ้อยเข้าหีบ 2.55 ล้านตัน บริษัทฯ ให้น้ำหนักกับการซ่อมแซมเครื่องจักรในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรของบริษัทจะหีบอ้อยได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัวเลขประสิทธิภาพเครื่องจักรในฤดูการหีบอ้อยปีนี้สูงที่สุดในรอบ 5 ปีบริษัทฯ มีแผนงานเพื่อที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ว่า “KBSเป็นองค์กรชั้นนำในธุรกิจอ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน”
โดยจะมุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลากร ผสานด้วยเทคโนโลยี พร้อมวางเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเข้ามาเสริม ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในเดือนเมษายน 2557 นี้ คาดว่าโครงการนี้จะเพิ่มกำไรให้กลุ่มบริษัทประมาณ 120 ล้านบาทในปี 2557 โดยในปีแรกยังรับรู้กำไรเพียง 9 เดือน และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอาจยังไม่ 100% ดังนั้น กำไรจากโครงการนี้ยังมี upside ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 250-300 ล้านบาท ในปี 2559
เขากล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานบริษัทฯ งวดปี 2556 ว่า มีรายได้รวม 5,972 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 501ล้านบาท โดยกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่เป็นขาลงตลอดปี 2556 “ผลการดำเนินงาน KBS งวดปี 2556 ถือได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ต้องเผชิญกับภาวะตลาดน้ำตาลในตลาดโลกอ่อนตัว เนื่องจากปริมาณผลผลิตน้ำตาลของโลกสูงกว่าปริมาณการบริโภครวมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านวิสัยทัศน์ แผนงาน และบุคลากร เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ สู่ผู้นำทางธุรกิจ”
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่1/2557 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท” กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 โดยจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2557
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2557 ว่า จะมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงของวัตถุดิบ คือ อ้อย โดยมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมชาวไร่อ้อยที่มีศักยภาพให้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อย รวมทั้งชักชวนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชอื่นมาปลูกอ้อย เพราะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ต่อปี เป้าหมายนี้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูง เพราะทางภาครัฐเองก็มีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาเปลี่ยนจากการทำนาดอนนอกเขตชลประทาน มาปลูกอ้อย พื้นที่จองปลูกอ้อยในฤดูปลายฝนของบริษัทก็มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนชาวไร่ โดยส่งเสริมปัจจัยการเพาะปลูก วิชาการเพาะปลูก และจัดหาเครื่องจักรกลเกษตร ทั้งรถไถ รถตัดอ้อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวไร่ตลอดปี ด้านการขาย และการตลาด บริษัทฯ มุ่งเน้นให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในส่วนของการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มมิตซุย ได้ร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และขยายกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด
“การพัฒนาเรื่องความมั่นคงของวัตถุดิบ ทั้งการขยายพื้นที่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนของชาวไร่ และคุณภาพอ้อย เป็นเรื่องที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นหัวใจของธุรกิจนี้ ฝ่ายขายและการตลาดเองก็มีเป้าหมายที่จะต้องคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มสร้างมูลค่าเพิ่ม และจะต่อยอดธุรกิจ โดยลงทุนเพิ่มกำไรจากผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลให้มากที่สุด”
KBS ได้ลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากกากอ้อยขนาด 35 เมกะวัตต์ เริ่มโครงการตั้งแต่กลางปี 2555 โดยกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ผลิตได้จะส่งกลับให้โรงน้ำตาล KBS โรงไฟฟ้าโรงใหม่นี้เป็นแบบ High Pressure ซึ่งมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง เมื่อเริ่มดำเนินการจะสร้างความมั่นคงให้แก่โรงงานน้ำตาลในช่วงฤดูหีบมาก กระแสไฟฟ้าที่เหลือประมาณ 22 เมกะวัตต์ จะจำหน่ายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนเมษายน 2557 นี้
ขณะนี้ความต้องการใช้เอทานอลสูงขึ้นร้อยละ 80 ในปี 2556 เนื่องจากการส่งเสริมเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยให้มีการยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ตั้งแต่ต้นปี 2556 การลงทุนในธุรกิจเอทานอลจึงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลเพราะมีความมได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบ (Feed stock) และต้นทุนการขนส่ง และการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ทีมงาน KBS กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ น่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้สำหรับฤดูกาลผลิต 2556/57 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2556 KBS มีอ้อยเข้าหีบแล้ว 1.6 ล้านตัน มีเป้าหมายมีอ้อยเข้าหีบทั้งปี 2.67 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอ้อยเข้าหีบ 2.55 ล้านตัน บริษัทฯ ให้น้ำหนักกับการซ่อมแซมเครื่องจักรในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรของบริษัทจะหีบอ้อยได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัวเลขประสิทธิภาพเครื่องจักรในฤดูการหีบอ้อยปีนี้สูงที่สุดในรอบ 5 ปีบริษัทฯ มีแผนงานเพื่อที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ว่า “KBSเป็นองค์กรชั้นนำในธุรกิจอ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน”
โดยจะมุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลากร ผสานด้วยเทคโนโลยี พร้อมวางเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเข้ามาเสริม ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในเดือนเมษายน 2557 นี้ คาดว่าโครงการนี้จะเพิ่มกำไรให้กลุ่มบริษัทประมาณ 120 ล้านบาทในปี 2557 โดยในปีแรกยังรับรู้กำไรเพียง 9 เดือน และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอาจยังไม่ 100% ดังนั้น กำไรจากโครงการนี้ยังมี upside ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 250-300 ล้านบาท ในปี 2559
เขากล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานบริษัทฯ งวดปี 2556 ว่า มีรายได้รวม 5,972 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 501ล้านบาท โดยกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่เป็นขาลงตลอดปี 2556 “ผลการดำเนินงาน KBS งวดปี 2556 ถือได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ต้องเผชิญกับภาวะตลาดน้ำตาลในตลาดโลกอ่อนตัว เนื่องจากปริมาณผลผลิตน้ำตาลของโลกสูงกว่าปริมาณการบริโภครวมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านวิสัยทัศน์ แผนงาน และบุคลากร เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ สู่ผู้นำทางธุรกิจ”
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่1/2557 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท” กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 โดยจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2557