ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 1,296.49 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.25 จุด หรือ +0.10 % มูลค่าการซื้อขาย 32,073.35 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,306.12 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,295.29 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวดีขึ้น สถาบันเข้าเก็บกว่า 2,157.76 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น จำนวน 349 หลักทรัพย์ ลดลง 354 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 213 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,157.76 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 1,752.52 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 259.12 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 146.13 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับหลักทรัพย์
JAS ปิดที่ 7.30 บาท เพิ่มขึ้น +0.15 บาท หรือ +2.10% มูลค่าการซื้อขาย 2,845,754 ล้านบาท
PTT ปิดที่ 286.00 บาท เพิ่มขึ้น +11.00 บาท หรือ +4.00% มูลค่าการซื้อขาย 2,337,299 ล้านบาท
PTTEP ปิดที่ 155.00 บาท ลดลง -2.50 บาท หรือ -1.59% มูลค่าการซื้อขาย 1,378,738 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 211.00 บาท ลดลง -2.00 หรือ -0.94% มูลค่าการซื้อขาย 1,108,712 ล้านบาท
PTTGC ปิดที่ 72.75บาท เพิ่มขึ้น +0.75 หรือ +1.04% มูลค่าการซื้อขาย 983,839 ล้านบาท
ธีรศักดิ์ ธนวรากุล นักวิเคราะห์เทคนิคตราสารทุน และตราสารอนุพันธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (7 ก.พ.) ฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาจากความกดดันเรื่องตัวเลขของภาคเศรษฐกิจจีน แตทั้งนี้ การฟื้นตัวยังไม่ถือว่าเด่นชัดมากนัก เนื่องจากยังไม่ผ่านแนวต้าน 1,300 จุด เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเองยังคงมีความกังวลปัญหาการชุมนุมการเมืองภายในประเทศอยู่
อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนโดยรวมของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงจากปัญหาความรุนแรงทางการเมืองซึ่งปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ แนวโน้มที่สำคัญซึ่งจะส่งผลต่อน้ำหนักการลงทุนจะไปอยู่ที่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนุญที่จะตัดสินการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา จะเป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งถ้าหากศาลตัดสินพิจารณาการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะจะเป็นสัญญาณบวกต่อการลงทุนของตลาดหุ้นไทย เพราะว่าคะแนนเสียงที่ออกมาของพรรคเพื่อไทย ลดลงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความสนใจที่จะเลือกตั้ง ถ้าหากมีการประกาศออกมาว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 ที่ผ่านมาเป็นโมฆะจริง โดยถ้าจะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในครั้งหน้าคาดว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะลงเลือกตั้งแน่นอน
“ในส่วนของกรณีที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยออกไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในช่วงนี้กลุ่ม บลจ.จะมีการออกกองทุนต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงจากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งโดยปกติของการออกกองทุนจะมีกลุ่มหนึ่งที่ซื้อ เพราะฉะนั้น นักลงทุนต่างประเทศที่ขายออกมาเป็นการเปลี่ยนมือย้ายฐานเงินกันระหว่างหุ้น และกองทุน ซึ่งนักลงทุนรายย่อยจะยังคงถือหุ้นเดิมต่อไป ซึ่งในแง่ของแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะราคาหุ้นสะท้อนภาพตลาดออกมาค่อนข้างมาก”
ในส่วนของนักลงทุนกลุ่มโบรกเกอร์ไม่ส่งผลมากนัก เนื่องจากกลุ่มโบรกฯ จะเลือกลงทุนตามบรรยากาศโดยรวมของตลาด เมื่อตลาดลงก็ทยอยซื้อเก็งกำไร เมื่อตลาดขึ้นก็ขายทำกำไรออกมา อย่างไรก็ดี การวางแผนกลยุทธ์การลงทุนในระยะนี้ เนื่องจากดัชนีราคาหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างมาก เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนควรเข้าซื้อสะสมในหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานดี ความเสี่ยงน้อย หรือหุ้นที่มีปันผลสูง โดยหากหุ้นปรับตัวขึ้นไป 3-5% ก็เป็นจังหวะที่ควรขายทำกำไรออกมา ส่วนคนที่ซื้อหุ้นแล้วติดในราคาที่สูง ซึ่งหากยังไม่มีความจำเป็นต้องขาย ควรถือรอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยรับรู้ปัญหาความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอเพียงมีข่าวดีเกิดขึ้น คาดว่าตลาดจะดีดกลับขึ้นไปค่อนข้างแรง
ทั้งนี้ หุ้นที่ควรลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ประกาศผลประกอบการออกมาดี และหุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่จะเริ่มทยอยผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้ ส่วนดัชนีแนวรับคาดว่าจะทดสอบที่ 1,260-1,280 จุด และแนวต้านที่ 1,300-1,307 จุด
“อย่างไรก็ดี ภาพรวมการลงทุนอาทิตย์หน้านักลงทุนควรต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกาว่าจะออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศจากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองยังคงส่งผลต่อตลาดทุนมากกว่า ทั้งนี้ คาดว่ากรอบการลงทุนในสัปดาห์หน้าจะเคลื่อนใหวอยู่ในกรอบแคบที่ 1,290 จุด เป็นลักษณะของการฟื้นตัว และอาจจะมีแรงขายสลับลงมา”