xs
xsm
sm
md
lg

เมย์แบงก์ฯอวดกำไรกว่า1.4พันล.

เผยแพร่:

บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ โชว์ผลการดำเนินงานปี 56 สามารถทำกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาเพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท ผลดีจากรายได้ในทุกสายธุรกิจเพิ่ม ทั้งรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลอดจนรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์



นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่าภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีแรก ช่วงต้นปี 2556 ดูดีมาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 105,568 ล้านบาทต่อวัน และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกสูงถึง 61,487 ล้านบาทต่อวัน แต่ช่วงครึ่งปีหลัง ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการลดนโยบาย Quantitative Easing (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ และปัจจัยทางการเมือง ทำให้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ซบเซาลงไปในครึ่งปีหลัง แต่ภาพรวมธุรกิจของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ปี 2556 ยังถือได้ว่าเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท

โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 1,093.49 ล้านบาท จาก 2,256.10 ล้านบาท เป็น3,349.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 48.47% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 6,637 ล้านบาท เป็น 10,149 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก 32,304 ล้านบาท เป็น 50,329 ล้านบาท ใน

ขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.02 ล้านบาท จาก 264.97 ล้านบาท เป็น 268.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.52% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจาก 5,805 สัญญา เป็น8,959 สัญญา ซึ่งยังคงเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42,512 สัญญา เป็น 68,017 สัญญา

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 292.81 ล้านบาท จาก 343.41 ล้านบาท เป็น636.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85.27 % เนื่องมาจากการเติบโตของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 เพิ่มขึ้นจากงวดดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 6,141 ล้านบาทเป็น 11,543 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 711.20 ล้านบาท จาก 2,259.03 ล้านบาท เป็น 2,970.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.48% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 249.92 ล้านบาท คิดเป็น119.25 %เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เงินวางหลักประกันของลูกค้าและเงินกู้ยืมระยะสั้น ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ซึ่งเพิ่มขึ้น 67.60 ล้านบาท คิดเป็น 32.76 % และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น451.80 ล้านบาท คิดเป็น 36.70% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้า

นอกจากนี้ การที่ บริษัทฯ ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ โดยได้นำมาตรฐานการบัญชีเรื่องภาษีเงินได้ มาถือปฏิบัติ มีผลให้ต้องปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดว้นที่ 31 ธันวาคม 2555 ทำให้ภาษีเงินได้ลดลงและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.36 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2556 สูงกว่าผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อน 93 %

จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในปี 2556 จะมีตัวเลขการเติบโตกว่า 93 % และยังรักษาความเป็นโบรกเกอร์ อันดับ 1 มาได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งหากแต่จะเร่งพัฒนาในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีเยี่ยม ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด อันจะสร้างความเชื่อมั่นในแก่ผู้ลงทุน และรักษาแชมป์ โบรกเกอร์อันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดยาวนานอย่างต่อเนื่องต่อไป นายมนตรีกล่าว

บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ โชว์ผลการดำเนินงานปี 56 สามารถทำกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท ผลดีจากรายได้ในทุกสายธุรกิจเพิ่ม ทั้งรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลอดจนรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์



นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่าภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีแรก ช่วงต้นปี 2556 ดูดีมาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 105,568 ล้านบาทต่อวัน และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกสูงถึง 61,487 ล้านบาทต่อวัน แต่ช่วงครึ่งปีหลัง ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการลดนโยบาย Quantitative Easing (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ และปัจจัยทางการเมือง ทำให้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ซบเซาลงไปในครึ่งปีหลัง แต่ภาพรวมธุรกิจของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ปี 2556 ยังถือได้ว่าเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,420.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 684.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 736.02 ล้านบาท

โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 1,093.49 ล้านบาท จาก 2,256.10 ล้านบาท เป็น 3,349.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 48.47% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 6,637 ล้านบาท เป็น 10,149 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจาก 32,304 ล้านบาท เป็น 50,329 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.02 ล้านบาท จาก 264.97 ล้านบาท เป็น 268.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.52% เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจาก 5,805 สัญญา เป็น 8,959 สัญญา ซึ่งยังคงเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42,512 สัญญา เป็น 68,017 สัญญา

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 292.81 ล้านบาท จาก 343.41 ล้านบาท เป็น 636.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85.27 % เนื่องมาจากการเติบโตของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 เพิ่มขึ้นจากงวดดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 6,141 ล้านบาท เป็น 11,543 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 711.20 ล้านบาท จาก 2,259.03 ล้านบาท เป็น 2,970.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.48% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 249.92 ล้านบาท คิดเป็น119.25 %เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เงินวางหลักประกันของลูกค้าและเงินกู้ยืมระยะสั้น ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ซึ่งเพิ่มขึ้น 67.60 ล้านบาท คิดเป็น 32.76 % และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 451.80 ล้านบาท คิดเป็น 36.70% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้า

นอกจากนี้ การที่ บริษัทฯ ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ โดยได้นำมาตรฐานการบัญชีเรื่องภาษีเงินได้ มาถือปฏิบัติ มีผลให้ต้องปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดว้นที่ 31 ธันวาคม 2555 ทำให้ภาษีเงินได้ลดลงและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.36 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2556 สูงกว่าผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อน 93 %

จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในปี 2556 จะมีตัวเลขการเติบโตกว่า 93 % และยังรักษาความเป็นโบรกเกอร์ อันดับ 1 มาได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งหากแต่จะเร่งพัฒนาในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีเยี่ยม ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด อันจะสร้างความเชื่อมั่นในแก่ผู้ลงทุน และรักษาแชมป์ โบรกเกอร์อันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดยาวนานอย่างต่อเนื่องต่อไป นายมนตรี กล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น