TISCO มองแนวโน้มหุ้นไทยร่วงจากกังวลการเมือง แนะเล่นสั้น จากสถานการณ์การเมืองที่ล่อแหลม และมีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น ประมาณการแนวรับที่ 1,280-1,285 จุด ส่วนแนวต้านที่ประมาณ 1,300-1,305 จุด เน้นกลุ่มอสังหาฯ ลีสซิ่ง และหุ้นที่ปันผลดี
นักวิเคราะห์จาก บล.ทิสโก้ กล่าวว่า สรุปภาวะตลาดในวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.) ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลง -6.07 จุด จากเหตุการระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง ทำให้ดัชนี SET INDEX แกว่งตัวผันผวนขึ้น และลงในกรอบแคบๆ ขาดปัจจัยใหม่ชี้นำตลาด อย่างไรก็ดี ภาคบ่ายทันทีที่เปิดตลาดกลับดิ่งลงทันที รับข่าวเหตุระเบิดที่บรรทัดทองระหว่าง กปปส.เดินขบวนรณรงค์เชิญชวน ปชช.ร่วมล้มระบอบทักษิณ ซึ่งมูลค่าซื้อขายเบาบางลงเหลือ 3.28 หมื่นลบ. ต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 607 ลบ.
ในขณะที่ตลาดหุ้นสำคัญๆ ของโลกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.) ปิดตลาดผันผวนเล็กน้อย หลังผลประกอบการ บจ.ในสหรัฐฯ ออกมาไม่ดีตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ส่วนทางกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น (อ้างอิงจากดัชนีชี้วัดค่าเงินดอลลาร์ (DXYO) แข็งค่าสุดรอบ 2 เดือน มาที่ 81.22 +0.4%) ซึ่งผลที่ตามมาคืออาจกระตุ้นให้ต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิ ส่งผลให้มุมมองภาพรวม SET INDEX มีโอกาสปรับตัวลดลง จากปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่มีความกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ทั้งการลอบยิง และปาระเบิด ทำให้การ์ด และผู้ชุมนุม กปปส. บาดเจ็บจำนวนมาก โดยประมาณการแนวรับที่ 1,280-1,285 จุด ส่วนแนวต้านที่ประมาณ 1,300-1,305 จุด ทั้งนี้ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ที่สุดของหุ้นที่เริ่มเข้าตลาดต้นปีม้าไฟนี้คือ AIE ที่กลับติด Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.-28 ก.พ.57
อย่างไรก็ดี ทิศทางตลาดวันนี้ (20 ม.ค.) จากสถานการณ์การเมืองที่ล่อแหลม และมีการใช้ความรุนแรงมากขึ้น ทำให้อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้อีกในอนาคต ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบเงินดอลลาร์ น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นเกี่ยวข้องการส่งออกเป็นที่สนใจต่อการเทรดดิ้งระยะสั้น ชอบ KCE, DELTA, TUF, NYT ส่วนหุ้นที่มีสัญญาณเชิงบวก AGE, CHG, DCC, JUTHA, SPVI ธีมหลักที่แนะนำ คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลดลง (คาด กนง.ลดดอกเบี้ยลงอีกจากเดิม 0.25% เป็น 2.00% ในการประชุม 22 ม.ค.นี้)
โดยแนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นในช่วงอ่อนตัว ได้แก่ หุ้นอสังหาฯ เช่น LH, QH, SPALI หุ้นกลุ่มลีสซิ่ง ASK และหุ้นปันผลดี TICON, PYLON, DELTA, KTB, SRICHA, MCOT, ASP, KGI, AI, PAP ซึ่งหุ้นทั้งหมดดังกล่าวล้วนมีการจ่ายเงินปันผล ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสอดคล้องกับช่วงฤดูกาลทยอยประกาศงบ และจ่ายเงินปันผลประจำปีในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ด้วย
ขณะเดียวกัน หุ้นที่ใความเด่นได้แก่ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นมาก (World Bank ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2557 โตขึ้นจาก 3.0% เป็น 3.2%) และประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าลง จึงมีความได้เปรียบในส่วนของยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มเข้ามา อีกทั้งในส่วนของความต้องการระบบไฟสำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของฝั่งยุโรป และอเมริกาที่ถึงฤดูที่จะต้องปรับเปลี่ยน มุมมองตลาดจะปรับประมาณการกำไรปี 57 และมูลค่าเหมาะสมขึ้นในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ผลตอบแทนเงินปันผลยังสูงด้วย คาดว่าผลตอบแทนในช่วงปี 2557-2558 จะไม่ต่ำกว่า 4% โดยราคาเหมาะสมที่ 54 บ. และมีโอกาสปรับประมาณการ และมูลค่าเหมาะสมขึ้นเช่นกัน
ในขณะที่ บมจ.นามยง เทอร์มินัล หรือ NYT ซึ่งดำเนินธุรกิจท่าเทียบเรือขนถ่ายรถยนต์โดยเฉพาะ มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และมีส่วนแบ่งมากกว่า 80% ของการส่งออกรถยนต์ไป ต่างประเทศ มีแนวโน้มสดใสจากการส่งออกรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น (ประมาณการส่งออกรถยนต์ปี 2557 ไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านคัน) ประกอบกับการที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกหลักของภูมิภาคเอเชีย (ปัจจุบันไทยผลิตรถยนต์ขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลก) คาดกำไรปี 2557 ขยายตัว 31% ต่อปี (มีท่าเรือ C0 ที่ถือหุ้นเพิ่มจาก 20% เป็น 49% เข้ามาหนุนกำไรปีนี้) ซึ่งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยราคาเหมาะสมที่ 19.2 บ.