หุ้นไทยปิดบวก 7.17 จุด อยู่ที่ระดับ 1,413.08 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 30,463.98 ล้านบาท โบรกฯ คาดปัญหาการเมืองภายในประเทศฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน คาดยังไม่ได้ข้อยุติการชุมนุมภายในเร็วๆ นี้
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (12 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 1,413.08 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.17 จุด หรือ +0.51% มูลค่าการซื้อขาย 30,463.98 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,422.06 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,410.18 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวดีดขึ้นทางเทคนิคหลังจากที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลายวันติดต่อกัน แนะจับตาประเด็นการเมืองในประเทศที่ยังหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น จำนวน 452 หลักทรัพย์ ลดลง 208 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 194 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,283.73 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 547.36 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 433.55 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,264.64 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
BAY ปิดที่ 38.75 บาท เพิ่มขึ้น +0.25 บาท หรือ +0.65% มูลค่าการซื้อขาย 2,797,403 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 233.00 บาท ลดลง -1.00 บาท หรือ -0.43% มูลค่าการซื้อขาย 1,637,911 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 8.35 บาท เพิ่มขึ้น +0.30 บาท หรือ +3.73% มูลค่าการซื้อขาย 1,598,890 ล้านบาท
JAS ปิดที่ 8.15 บาท เพิ่มขึ้น +0.20 บาท หรือ +2.52% มูลค่าการซื้อขาย 1,375,889 ล้านบาท
INTUCH ปิดที่ 77.75 บาท ลดลง -1.00 บาท หรือ -1.27% มูลค่าการซื้อขาย 1,117,485 ล้านบาท
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าปิดตลาดบวกประมาณ 7 จุด กลับมาบวกในเชิงเทคนิค ซึ่งประเมินแนวรับในวันพรุ่งนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1,400-1,395 จุด ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,420-1,425 จุด และยังคงมีการแกว่งตัวที่ผันผวนต่อเนื่องอยู่ ทั้งนี้ ข่าวดีที่จะทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นนั้นยังไม่มีข่าวดีอะไรใหม่เข้ามา ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาด ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์หลายๆ แห่งประเมินเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นด้านลบในเชิงพื้นฐาน เพราะมองว่า Up Side คาดว่าจะมีอยู่อย่างจำกัดในเรื่องของผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาในช่วงนี้
“ขณะเดียวกัน ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อการลงทุนนั้น น้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ที่การเมืองภายในประเทศ ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่าสรุปแล้วจะหาข้อยุติได้ในรูปแบบไหน ซึ่งแน่นอนว่าการชุมนุมต่อต้านจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ต่อเนื่องไปถึงการลงทุน และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรง และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ยังไม่ได้คลี่คลายลงไป ในทางกลับกัน ก็ถือได้ว่าเป็นปัจจัยลบที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจของต่างประเทศนั้นในขณะนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่น่ากังวล และส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก”
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะอยู่ในกรอบการลงทุนที่จำกัด เนื่องจากการประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมจะยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ในระยะเวลาสั้นๆ และจะมีการผันผวนปรับตัวขึ้นลงระหว่างวันที่ค่อนข้างสูง โดยแนวรับคาดว่าจะอยู่ที่ 1,390 จุด ส่วนแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,440 จุด โดยกลุ่มที่มีความน่าสนใจลงทุนเป็นพิเศษซึ่งสังเกตุจากมีเม็ดเงินเข้าไปซื้อจำนวนมาก ได้แก่ หุ้นกลุ่มอาหารส่งออกที่มีรายได้จากต่างประเทศ กลุ่มถ่านหินที่ยังคงมีรายได้สม่ำเสมอ และหุ้นที่ปันผลสูง ก็จะยังคงเป็นกลุ่มหลักสำหรับนักลงทุน