“ทีเอ็มบี” ชี้มีสัญญาณเข้าสู่ภาวะเงินสดขาดมือ หลังยอดขายห้างสรรพสินค้าหดตัว ยอดกดเงินสดจากบัตรเครดิตเพิ่มก้าวกระโดดต่อเนื่อง 2 เดือน โดยเฉพาะกลุ่มนอนแบงก์
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ประเมินสถานการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงท้ายของปีนี้ มีแนวโน้มเริ่มประสบภาวะเงินสดขาดมือ จากสัญญาณอัตราการเพิ่มขึ้นของการกดเงินสดจากบัตรเครดิตที่ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยอัตราสูงลิ่วเพื่อสภาพคล่องในมือ ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่แผ่วลงชัดเจนในไตรมาส 3 จากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.7 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ชะลอลงอีกจากการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้วที่ในระดับร้อยละ 2.9 ในไตรมาส 2 ดัชนีการค้าปลีกหดตัวร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่หดตัว (ไม่นับการหดตัวในไตรมาส 4/54 ที่เกิดเหตุสุดวิสัยน้ำท่วมใหญ่)
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า ยอดขายห้างสรรพสินค้าที่ย้อนสถิติกลับไปในช่วง 10 ปีไม่เคยหดตัวเลย แต่ก็กลับหดตัวร้อยละ 0.9 ขณะที่ยอดขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และเฟอร์นิเจอร์ที่ออกอาการหดตัวราวร้อยละ 1 ทั้ง 2 ไตรมาสแรกปีนี้ ก็ยิ่งหดตัวมากขึ้นเป็นร้อยละ 5 ในไตรมาสที่ 3 สัญญาณดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องลดการบริโภคลงจากภาวะรายได้ที่จะไม่พอต่อรายจ่ายที่มากขึ้น
พร้อมกันนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ระบุมีสัญญาณที่แสดงถึงการที่ประชาชนบางส่วนอาจประสบกับปัญหาภาวะเงินสดขาดมือมากขึ้นจากข้อมูลที่สามารถสะท้อนถึงสถานการณ์ดังกล่าวได้ในระดับหนึ่งคือ การกดเงินสดจากบัตรเครดิตที่กลับมาเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 2555 ถึงแม้ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2555 จะมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเป็นผลของฐานต่ำจากเหตุการณ์อุทกภัยในปี 2554 แต่อัตราการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมาในปีนี้นั้น ก็อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อน และหลังเกิดวิกฤติซับไพรม์ในปี 2551 อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
โดยเมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตเฉลี่ยจากปีก่อนของการกดเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จะสูงถึงร้อยละ 13 ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 มีอัตราเพิ่มจากปีก่อนเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น นอกจากนั้น ความแตกต่างระหว่างอัตราเพิ่มของการกดเงินสดกับของการรูดบัตรที่ส่วนใหญ่จะติดลบ ยกเว้นช่วงที่เศรษฐกิจเกิดปัญหาอย่างตอนวิกฤตซับไพรม์ ก็กำลังมีลักษณะเช่นนั้นอีกในช่วงนี้
เนื่องด้วยวัตถุประสงค์ของการใช้บัตรเครดิตมีอยู่ 2 กรณี คือ การรูดบัตรเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ และการกดเงินสด โดยหากเป็นการรูดบัตรเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ เมื่อมีการจ่ายตรงตามวันที่เรียกเก็บทั้งจำนวน นอกจากผู้ใช้บัตรจะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยจากยอดที่ใช้แล้ว ก็ยังสามารถใช้แต้มสะสมจากการใช้จ่ายไปแลกกลับเป็นเงินสดห รือสิ่งของตามเงื่อนไขที่กำหนดของบัตรได้อีกด้วย ต่างกับการใช้บัตรเพื่อการกดเงินสด ที่จะถูกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้เป็นอัตราสูงถึงร้อยละ 20 ต่อปี แม้ว่าจะมีการชำระเต็มจำนวนก็ตาม และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึงขนาดนี้ ทำให้มองได้ว่า ย่อมไม่มีใครต้องการที่จะจ่ายอย่างแน่นอนหากไม่มีความจำเป็นอันเนื่องมาจากเงินสดขาดมือ
และเมื่อเปรียบเทียบอัตราการเพิ่มของการกดเงินสด กับอัตราการเพิ่มของการใช้บัตรซื้อสินค้าในแต่ละประเภทของกลุ่มลูกค้า พบว่า กลุ่มลูกค้าบัตรเครดิต Non-Bank มีอัตราเพิ่มของการกดเงินสดมากกว่าอัตราการเพิ่มของการชำระค่าสินค้าเป็นพิเศษ โดยกลุ่มลูกค้าดังกล่าวซึ่งมีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่าลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ทำให้มีโอกาสที่จะประสบปัญหาเงินสดขาดมือได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการกดเงินสดผ่านบัตรเครดิตที่เพิ่มในอัตราเร่งขึ้นของลูกค้าทั้งของธนาคารพาณิชย์ และ Non-Bank ทำให้การกดเงินสดมีบทบาทมากขึ้นสำหรับยอดสินเชื่อบัตรเครดิตที่ยังขยายตัวสูงต่อเนื่องในช่วงปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในอดีตที่การใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้าจะมีบทบาทมากกว่า แม้การบริโภคในประเทศจะมีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนก็ตาม จึงเป็นข้อมูลที่อาจบ่งชี้ได้ว่าผู้บริโภคบางกลุ่มเริ่มมีสัญญาณเงินสดขาดมือแล้ว