หลังจากที่ประเด็นปัญหาการคลังสหรัฐฯสงบลงไปได้ชั่วคราว ตลาดทองคำก็ได้รับผลจากปัจจัยเก่าที่นำเอามาเล่าใหม่ ซึ่งหากนักลงทุนติดตามกันมาตลอดคงเดากันได้ไม่ยาก เพราะประเด็นที่จะกล่าวถึงก็คือ มาตรการคิวอีนั่นเอง โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น มาตรการคิวอีเองก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ปัญหาการคลังสหรัฐฯมันประชิดเข้ามากลายเป็นประเด็นใหญ่ แต่หากสังเกตุให้ดี จะพบว่าเมื่อเข้าใกล้เส้นตายปัญหาการคลังในวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ประเด็นมาตรการคิวอีเริ่มนำกลับมาพูดกันอีกครั้ง เพราะเนื่องจากมีการกล่าวกันว่าประเด็นปัญหาการคลังสหรัฐฯจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้มาตรการคิวอีนั้นยังคงอยู่ต่อเนื่องไป
เหตุผลที่สนับสนุนว่ามาตรการคิวอีจะอยู่ต่อเนื่องไปนั้น ก็คือถ้อยแถลงของประธานเฟดบางสาขา โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เผยขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เนื่องจากข้อมูลต่างๆยังไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างเพียงพอว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่สมควรจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะที่ นายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัสเผยความไม่ลงรอยกันด้านการคลังได้ส่งผลกระทบต่อการหารือเรื่องการปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรรายเดือนของเฟดซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าน่าจะยังคงมาตรการคิวอีต่อไป
นอกจากนี้ประเด็นเรื่องการปิดทำการ 16 วันของหน่วยงานสหรัฐฯนั้น จะสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้ชัดเจน แต่สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน Standard & Poor’s ให้ตัวเลขประมาณความเสียหายนี้ออกมาแล้วว่า อย่างน้อยเป็นมูลค่าสองหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ หรือราวๆ หนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลล่าร์ต่อวัน และชลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ลงจากที่คาดไว้ 3% มาเป็น 2.4% นอกจากนี้ รายงานการประชุมของFOMC (FOMC Meeting Minutes) ในรอบล่าสุด(10 ตุลาคม 2013) FOMC ยังยืนยังถึงความจำเป็นที่ต้องคงมาตรการคิวอีเอาไว้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ FOMC ตัดสินใจลดมาตรการคิวอีลง ดังนั้นประเด็นนี้จึงสร้างความเชื่อมั่นว่ามาตรการคิวอีจะยังคงอยู่ต่อไป(FOMC มีเป้าหมายอัตรการว่างงานที่ 6.5% ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 7.2%)
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้มีการคาดการณ์กันว่า FOMC น่าจะยังคงตัดสินใจคงมาตรการคิวอีไปก่อนจนกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาในช่วงเวลานี้ ทั้งนี้ยังคงต้องเฝ้ารอกันต่อไปว่าสิ่งที่คาดการณ์กันนั้นจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ อย่างไรก็ตามนักลงทุนสามารถติดตามประเด็นเหล่านี้จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยเฉพาะตัวเลขในตลาดแรงงาน ก็สามารถทำให้ประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น