นักวิชาการ ม.ธรรมศาสตร์ หนุนแนวคิด “อำพน กิตติอำพน” เสนอให้นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างประเทศ พร้อมเตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนกความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมคาด “จีดีพี” ปีหน้าโตได้เกิน 4%
นายภาณุพงศ์ นิธิประภา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวคิดของนายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เสนอให้มีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก มาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ และในหลายประเทศก็มีการดำเนินการ เพราะปัจจุบันเงินทุนสำรองของไทยยังมีอยู่สูงเกินความจำเป็น แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าหากมีการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติจริง ก็สามารถมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีความมั่นคงมากกว่า และให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า และมีความเสี่ยงน้อยกว่าพันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังช่วยให้รัฐบาลมีเม็ดเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้
แต่ยอมรับว่า การที่จะกำหนดว่าทุนสำรองระหว่างประเทศควรอยู่ที่ระดับใดนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการรักษาเสถียรภาพของค่าบาท ซึ่งปัจจุบันจากการที่ยังไม่มีความชัดเจนการลดขนาดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (QE) และการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีข้อยุติ ส่งผลทำให้ปริมาณการไหลเข้าออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายมีความผันผวน และทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนไปด้วย
ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังต้องใช้เงินทุนสำรองเข้าไปดูแลเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมา การเข้าดูแลค่าเงินของ ธปท. ถือว่ามีเสถียรภาพเพราะทำให้ค่าบาทเป็นไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาค แต่ไม่ใช่การฝืนตลาดเป็น เพียงการชะลอความผันผวนของค่าเงินบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ ขอเตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนกความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกจากวิกฤติของสหรัฐฯ เพราะพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยมีความแตกต่างจากพื้นฐานตลาดหุ้นต่างประเทศ และโอกาสที่สหรัฐฯ จะไม่สามารถขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ เป็นไปได้น้อยมาก
ด้านนายภาณุพงศ์ นิธิประภา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาทางวิชาการ ประจำปี 2556 เรื่อง “2 ปีนโยบายเศรษฐกิจยิ่งลักษณ์ : ความฝันกับความจริง” โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.9 กระทบทำให้การส่งออกชะลอตัวลงมากกว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
หากรัฐบาลยังไม่สามารถกระตุ้นการลงทุน และการบริโภคภายในประเทศเพื่อชดเชยการส่งออก โอกาสที่จะเห็นอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้โตได้ร้อยละ 4 คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้น รัฐบาลต้องกระตุ้นให้เกิดความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพราะการลงทุนจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนที่จะเข้ามาลงทุน กระตุ้นการจับจ่ายในประเทศ ซึ่งให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจคุ้มค่ากว่าดอกเบี้ยจ่ายของรัฐบาลในระยะยาว ซึ่งรัฐบาลยังสามารถจะก่อหนี้สาธารณะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะปัจจุบัน ระดับหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 40-45 ของจีดีพี ยังไม่ถึงร้อยละ 60 ตามกรอบวินัยทางการคลัง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 จะขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้ แต่จะเป็นระดับที่เท่าไรคงคาดการณ์ได้ยาก หากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าร้อยละ 4 ต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้น และจะเป็นตัวสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯ จะมีผลต่อภาวะตลาดเงิน และตลาดทุนไทยผันผวนแค่ไหน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ
ส่วนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล นายภาณุพงศ์ กล่าวว่า ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะรายได้ที่เกษตรได้รับจะนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยกระตุ้นทำให้เกิดการบริโภค และกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย แตกต่างจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง เมื่อซื้อรถแล้วจะต้องประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าโครงการดังกล่าวทำให้เกิดการบิดเบือนของกลไกตลาด เพราะมีการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าตลาดโลก ซึ่งรัฐบาลคงไม่ได้มองในเรื่องกำไรขาดทุน แต่มองที่การดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายรัฐบาลจะต้องมีการปรับราคารับจำนำลงให้สอดคล้องกับราคาของตลาดโลก