วินเนอร์กรุ๊ปฯ เทรดวันแรกปิดสวยงามที่ 4.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.90 บาท จากราคา IPO 2 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,989.55 ล้านบาท ผู้บริหารปลื้มเชื่อปัจจัยพื้นฐานดี และมียอดคำสั่งซื้อสินค้าต่อเนื่อง แนวโน้มหลังเข้าตลาดคาดจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องเพื่อรองรับแหล่งทุนจากต่างประเทศ และในอนาคตมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพได้สูงขึ้น มีโครงการต่อเนื่องระยะยาวทั้งใน และต่างประเทศ
วันนี้ หุ้น WINNER หรือบริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 4.92 บาท เพิ่มขึ้น 2.92 บาท หรือ 146.00% จากราคา IPO ที่ 2.00 บาท/หุ้น และมาปิดตลาดที่ 4.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.90 บาท หรือ 145% ราคาสูงสุดระหว่างวันที่ 5.65 บาท ต่ำสุดที่ 4.42 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,989.55 ล้านบาท
น.ส.กนกพรรณ เกรียงไกรกฤษฎา รองกรรมการผู้จัดการ จัดการ บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ หรือ WINNER กล่าวว่า พอใจในราคาหุ้นที่เปิดตลาดมาในวันซื้อขายวันแรกนี้ เพราะมีนักลงทุนให้ความสนใจ และมีความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทฯ ว่าแนวโน้มจะมีอนาคตที่ดี ราคาหุ้นบริษัทฯ ที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรกสูงกว่าราคาจองไว้ถึง 146% น่าจะมาจากนักลงทุนเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยคาดว่ารายได้ และกำไรในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากขายทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มขึ้น และมีอัตราที่เติบโตขึ้นในปีหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 15%
“ขณะเดียวกัน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากนำเข้ามาจำหน่าย 93% และผลิตเอง 7% โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตเองเป็น 10% และนำเข้า 90% และในส่วนของการนำเข้าบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวน เนื่องจากได้มีการทำประกันความเสี่ยงไว้ 100% เพราะหลังจากที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัทวางแผนในอนาคตที่จะทำ M&A เพื่อเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังนักลงทุนที่มีความสนใจ และเตรียมที่จะขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศแรกที่มองไว้คือ พม่า ซึ่งเปิดรับเสรีการลงทุนอยู่มาก และตลาดมีคู่แข่งน้อย ประกอบกับสินค้ามีความต้องการสูง ส่วนแนวโน้มในอนาคตระยะยาวเตรียมที่จะลงทุนในประเทศจีน เนื่องจากประประเทศที่มีประชากรมาก และมีกำลังซื้อสูง สามารถผลักดันตลาดให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดดได้”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ไม่เกิน 10% จากเดิมที่ตั้งไว้เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้การบริโภคภายในประเทศ และต่างประเทศชะลอตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งช่วงครึ่งแรกบริษัทมีรายที่ 600 ล้านบาท และครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทจะมีสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงฤดูกาลที่มีการบริโภคสูงทั้งใน และต่างประเทศ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนให้ผลประกอบการในปีนี้เติบโตได้ตามเป้า
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะไม่มีกำแพงภาษีมาเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้า Non Food เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีความหลากหลายในธุรกิจ
ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทที่ผลิตยา และเครื่องสำอางไปบ้างแล้ว แต่ยังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก โดยเชื่อว่าใน 3-5 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มเติมเครื่องจักร และปรับปรุงกระบวนการผลิตจาก 4,300 ตันต่อปี เป็น 9,500 ตันต่อปี ในส่วนของโรงงานแพกสินค้าซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนไปแล้ว 25 ล้านบาท