แรงซื้อ FVC เฟิร์สเทรดกระฉูดเปิดซื้อขายแรกวิ่งขึ้นทะลุ 3.50 บาท จากราคา IPO ที่ 1.20 บาท ณ เวลา 10.00 น. จากปัจจัยหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมี Backlog จากทั้งหน่วยงานรัฐ และเอกชน แนวโน้มหลังเข้าตลาดคาดจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องเพื่อรองรับแหล่งทุนจากต่างประเทศ และในอนาคตมีโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพสินค้ารูปแบบใหม่ให้มีความหลากหลายตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม พร้อมเล็งตลาด AEC เพราะยังเติบโตได้อีกมาก
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. แจ้งว่า การเข้าซื้อขายบนกระดานของหุ้น บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น หรือ FVC ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดที่ระดับ 3.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท หรือประมาณ 180% จากราคา IPO ที่ 1.20 บาท/หุ้น
นายวิจิตร เตชะเกษม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ฟิลเตอร์ วิชั่น หรือ FVC กล่าวว่า พอใจในราคาหุ้นที่เปิดตลาดมาในวันซื้อขายวันแรกนี้ เพราะมีนักลงทุนให้ความสนใจ และมีความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทฯ ว่าแนวโน้มจะมีอนาคตที่ดี ราคาหุ้นบริษัทฯ ที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรกสูงกว่าราคาจองไว้ถึง180% น่าจะมาจากนักลงทุนเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 18-20% หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นจากขายทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มขึ้น และมีอัตราที่เติบโตขึ้นในปีหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินที่ได้จากการระดมทุนขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปขยายภาคธุรกิจในการผลิต และบริการเครื่องบำบัดน้ำ โดยนำเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO จำนวน 59.20 ล้านหุ้น ในราคา 1.20บาท/หุ้น โดยมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งมีค่า P/E ที่ 11 เท่า โดยได้พิจารณาส่วนลดแล้ว 30-40%
“อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าว่าในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะไม่มีกำแพงภาษีมาเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องบำบัดน้ำ ตลอดจนบ้านพักอาศัย และกลุ่มโรงแรมทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของตลาดเพื่อให้มีความหลากหลาย โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาขายสินค้าผลิตภัณฑ์บำบัดน้ำให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟูด หน่วยงานราชการ และโรงพยาบาลทั้งของรัฐบาล และบริษัทเอกชน แต่ยังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก โดยเชื่อว่าใน 3-5 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น”
ทั้งนี้ หลังจากที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัทวางแผนในอนาคตที่จะทำ M&A เพื่อเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังนักลงทุนที่มีความสนใจ และเตรียมที่จะขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน กลุ่มประเทศ AEC ซึ่งเปิดรับเสรีการลงทุนอยู่มาก และตลาดมีคู่แข่งน้อย ประกอบกับสินค้าพื้นฐานที่มีความต้องการสูง ทั้งยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก และมีกำลังซื้อสูง สามารถช่วยผลักดันบริษัทให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดดได้