บมจ.วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ เคาะราคาขายหุ้น IPO ในราคา 2 บาท/หุ้น เตรียมเข้าเทรด mai วันที่ 3 ต.ค. นี้ ตั้งเป้าปีนี้คาดรายได้ และกำไรเติบโต 10% จากปีก่อน 1.4 พันล้าน แนวโน้มระยะยาว 3-5 ปี ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% หลังเข้าาเทรดใน mai รองรับตลาด AEC
นายเจน วองอิสริยกุล กรรมการและผู้จัดการ บมจ.วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ กล่าวว่า บริษัทประกอบธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์อาหาร ทั้งผลิตและนำเข้า รวมไปถึงการจัดจำหน่ายวัตถุดิบ ส่วนผสม เคมีภัณฑ์อาหารเพื่ออุตสาหกรรม ตลอดจนถึงอาหารเพื่อการบริโภค โดยมีประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งการที่บริษัทฯ เตรียมระดมทุนในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นครั้งนี้ในการเสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 88 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2 บาท จำนวน 88 ล้านหุ้น คิดเป็น 22% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกโดย และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยเตรียมเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 25-27 ก.ย. นี้ และเตรียมที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุน 176 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ และขยายธุรกิจในระยะยาว 3-5 ปี เป็นจำนวนเงิน 117 ล้านบาท ลงทุนขยายคลังสินค้าภายในปี 2557 จำนวน 30 ล้านบาท และลงทุนในระบบไอทีในปี 2557 จำนวน 20 ล้านบาท โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ด้าน น.ส.กนกพรรณ เกรียงไกรกฎษฎา รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ กล่าวว่า บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ไม่เกิน 10% จากเดิมที่ตั้งไว้เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากปีนี้การบริโภคภายในประเทศ และต่างประเทศชะลอตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งในช่วงครึ่งแรกบริษัทมีรายที่ 600 ล้านบาท และครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทจะมีสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงฤดูการที่มีการบริโภคสูงทั้งใน และต่างประเทศ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชนให้ผลประกอบการในปีนี้เติบโตได้ตามเป้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าว่าในปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะไม่มีกำแพงภาษีมาเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มสินค้า Non Food เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีความหลากหลายในธุรกิจ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทที่ผลิตยา และเครื่องสำอางไปบ้างแล้ว แต่ยังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก โดยเชื่อว่าใน 3-5 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มเติมเครื่องจักร และปรับปรุงกระบวนการผลิตจาก 4,300 ตันต่อปี เป็น 9,500 ตันต่อปี ในส่วนของโรงงานแพกสินค้าซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนไปแล้ว 25 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากนำเข้ามาจำหน่าย 93% และผลิตเอง 7% โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตเองเป็น 10% และนำเข้า 90% ทั้งนี้ ในส่วนของการนำเข้าบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวน เนื่องจากได้มีการทำประกันความเสี่ยงไว้ 100%