พลัสฯ เผยผลวิจัยตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวหลัก “เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา (เขาใหญ่) และหัวหิน-ชะอำ” พบซัปพลายรวมปี 55-56 พุ่ง 117,000 ยูนิต ระบุกระแสไฮซีซัน ดันอัตราดูซับขยายตัวต่อเนื่อง หลังซัปพลายรวมในตลาดถูกระบายออกกว่า 81,000 ยูนิต คิดเป็น 70% ของซัปพลายในตลาด ชี้คอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวชายทะเลขายดีที่สุด ขณะที่เชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรท บ้านเดี่ยวได้รับการตอบรับที่ดี
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นเมืองหลักที่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา (เขาใหญ่) และหัวหิน-ชะอำ มีอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม รวมถึงโรงแรมหรือวิลล่า โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งท่องเที่ยว หรือที่อยู่อาศัยเห็นวิวธรรมชาติ
ทั้งนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวหลักจะทำให้การปล่อยเช่า หรือขายต่อมีโอกาสสูงขึ้น โดยลูกค้ากลุ่มคนไทยอาจจะเหมาะต่อการปล่อยเช่าระยะสั้น ในขณะที่ชาวต่างชาติมักนิยมเช่าในระยะยาว เพื่อเป็นที่พักอาศัยยามเข้าสู่ฤดูหนาวของชาวยุโรป หรือใช้เป็นบ้านพักของคนวัยเกษียณที่มีให้เห็นในกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงชาวไทยเองที่ต้องการเป็นบ้านพักหลังที่ 2
จากข้อมูลการวิจัยภายใต้หัวข้อ “โอกาสอสังหาฯ กับการท่องเที่ยวที่มาแรง” โดยฝ่ายวิจัยและพัฒนา ของพลัสฯ ได้ทำการสำรวจที่พักอาศัยในเมืองท่องเที่ยว 5 เมืองหลัก คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา (เขาใหญ่) และหัวหิน-ชะอำ พบว่า ซัปพลายปี 55-56 มีจำนวนทั้งสิ้น 117,000 ยูนิต ถูกดูดซับไปแล้ว 81,000 ยูนิต หรือประมาณ 70% โดยเมืองท่องเที่ยวชายทะเล รูปแบบที่อยู่อาศัยที่นิยมในอันดับแรกคือ คอนโดมิเนียมรูปแบบ Sea View ในกลุ่มราคา 50,000-80,000 บาทต่อ ตร.ม. และ 100,000- 200,000 บาทต่อ ตร.ม. ส่วนเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น จ.เชียงใหม่ บ้านเดี่ยวราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยผู้ซื้อหลักมาจากคนทำงานในท้องถิ่น และนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าให้ชาวต่างชาติในพื้นที่ได้รับความนิยมมากกว่าคอนโดฯ
“ที่น่าสนใจคือ ตลาดคอนโดมิเนียมในกลุ่มราคา 60,000-80,000 บาท/ตร.ม. เนื่องจากเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นวัยเกษียณที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศญี่ปุ่น”
ทั้งนี้ หากเทียบหัวเมืองท่องเที่ยวชายทะเลต่างๆ แล้ว ชะอำ และหัวหินถือว่าเป็นตลาดที่มีดีมานด์มากที่สุด เป็นที่สนใจของผู้บริโภคที่ซื้ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีความพร้อมของปัจจัยพื้นฐาน เช่น โครงสร้างคมนาคม การพัฒนาของเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงการเป็นเมืองท่องเที่ยวลำดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมายอดขายในหัวหินอาจจะชะลอตัวบาง เนื่องจากปีที่ผ่านมามีที่อยู่อาศัยเปิดตัวมากเป็นจำนวนเท่าตัวของซัปพลายเดิม โดยกลุ่มคอนโดมิเนียมยังเป็นตลาดที่เติบโตได้ดี โดยเฉพาะราคาต่ำกว่า 80,000 บาทต่อ ต.รม. ในพื้นที่ชะอำ เขาตะเกียบ-เขาเต่า ยังเป็นพื้นที่ที่น่าจับตา เนื่องจากเชื่อว่ายังมีอุปสงค์รองรับได้จำนวนมาก ทั้งนี้ ช่วงราคาที่เหมาะสมในพื้นที่ชะอำควรอยู่ในระดับ 50,000-70,000 บาทต่อ ตร.ม. ส่วนเขาตะเกียบ-เขาเต่า ควรอยู่ที่ระดับ 40,000-70,000 บาทต่อ ตร.ม. ส่วนพื้นที่ฝั่งทะเล คาดว่าอุปสงค์ที่ต้องการห้องชุดราคาแพงยังพอมีกำลังซื้อที่ราคาสูงกว่า 100,000 บาทต่อ ตร.ม.
ส่วนทำเลเมืองตากอากาศที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดอีกหนึ่งแห่ง คือ พัทยา มีการเปิดโครงการใหม่อย่างคึกคัก เพราะเห็นแนวโน้มและโอกาสที่ยังขยายตัวได้อีกมาก สำหรับภูเก็ต ภาพรวมของเมืองมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก เมื่อก่อนตลาดคอนโดฯ หาไม่เป็นที่ต้องการของพื้นที่นี้ แต่ปัจจุบันเติบโตรวดเร็ว มีโครงการใหม่ๆ จากนักลงทุนในท้องถิ่น และส่วนกลางเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ในส่วนของพื้นที่เขาใหญ่ แม้อุปสงค์จะให้การตอบรับต่ออุปทานโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมในเกณฑ์ดี แต่จากข้อจำกัดของผังเมืองใหม่ที่ประกาศใช้ต้นปี 2557 ทำให้การลงทุนในอสังหาฯ ทั้งแนวสูง และแนวราบถูกจำกัด ผู้ประกอบการจึงเร่งขออนุมัติโครงการในช่วงปี 2556 เพื่อหวังดึงดูดกลุ่มอุปสงค์ที่ต้องการหาบ้านพักตากอากาศในอนาคต
“อย่างไรก็ตาม คาดว่าปี 2558 น่าจะเห็นนักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายผลักดันให้เชียงใหม่ พัทยา และภูเก็ต เป็น MICE CITY ที่ติดตลาดโลก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงยังมีปัจจัยจากนโยบายพัฒนาเครือข่ายคมนาคมภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เช่น สายชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด สายนครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ (กำหนดการแล้วเสร็จปี 2563) และโครงการรถไฟความเร็วสูงสู่ภูมิภาคของประเทศ ส่วนปัจจัยที่ควรเฝ้าระวังคือ ความผันผวนทางการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจโลก” นายภูมิภักดิ์กล่าว