xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์หวังงบ 2 ล้านล. ขับเคลื่อน ศก. แนะเข็นโครงการเล็กลุยภูธร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิเคระห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ประเมินงบลงทุนรัฐ 2 ล้านล้าน จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป แต่ยังอาจมีปัญหาการเบิกจ่ายที่ล่าช้า แนะเดินหน้าโครงการขนาดเล็กก่อน ระบุกลุ่มรับเหมา SME รับผลดีสุด

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics)ประเมินแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป จะมาจากแผนการลงทุนภาครัฐ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เศรษฐกิจในประเทศส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน หลังจีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.8 จากปีก่อนหน้าจากการส่งออก และการบริโภคที่ชะลอตัวลง และคาดว่าจีดีพีไตรมาส 3 จะขยายตัวร้อยละ 3.2

ทั้งนี้ ในการลงทุนภาครัฐครั้งนี้ เม็ดเงินก่อสร้างสูงถึง 1.52 ล้านล้านบาท จะกระจายไปยังภาคต่างๆ ทั่วประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายอาจล่าช้าในโครงการขนาดใหญ่ที่ลงทุนสูง และต้องมีการศึกษาวางแผน และผ่านกระบวนการอีกหลายขั้นตอน จึงมีโครงการขนาดเล็กบางส่วนที่น่าจะเริ่มดำเนินการได้เร็วกว่า ทำให้งบก่อสร้างสามารถออกไปเศรษฐกิจภูธรได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ โครงการขนาดเล็กที่น่าเริ่มดำเนินการได้เร็วในปี 2557 มีจำนวน 61 โครงการ จากโครงการทั้งหมด 110 โครงการ มูลค่าการก่อสร้างประมาณ 2.24 แสนล้านบาท

โดยหากเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมีการเบิกจ่ายได้รวดเร็ว จะส่งผลดีต่อหลายกลุ่มธุรกิจ รวมถึงธุรกิจ SME ด้วย โดย SME กลุ่มแรกที่จะได้ผลดีจากการก่อสร้างโครงการต่างๆ โดยมีผู้รับเหมาก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 40,018 ราย ที่มีโอกาสรับอานิสงส์จากเม็ดเงินก่อสร้างผ่านโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ในแต่ละจังหวัด

กลุ่มถัดมาที่ได้รับประโยชน์แน่นอนคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้างทั่วประเทศที่มีจำนวนถึง 18,185 ราย แบ่งเป็นผู้ผลิต 2,513 ราย ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก 15,672 ราย ทำให้ยอดผลิต และยอดขายวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เสาเข็ม หิน ทราย เหล็ก เพิ่มสูงขึ้น

ห่วงภาคครัวเรือนใช้จ่ายเกินตัว

นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ที่ปรึกษาสมาคมวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.8-4.0% โดยเป็นผลมาจากภาคการส่งออก และการใช้จ่ายที่หดตัวลง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติหลังจากที่ปีก่อนเรากระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคการใช้จ่ายค่อนข้างมาก และอัตราการเติบโตของจีดีพีที่ระดับ 4% ก็ไม่ได้ต่ำ หากเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องให้ผู้บริโภคทราบว่าต้วเองมีความสามารถในการก่อหนี้ได้ในระดับไหน มิฉะนั้นแล้ว จะเกิดปัญหาตามมา เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคที่มีการใช้การตลาดที่เข้มข้น อาจเป็นสิ่งจูงใจให้ใช้จ่ายเกินความเหมาะสมได้ง่าย

นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า โครงการลงทุนในสาธารณูปโภค 2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนในเรื่องดังกล่าวนานแล้ว แต่ควรเลือกลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ก่อน ส่วนโครงการที่ยังไม่มีความชัดเจนก็ควรชะลอเพื่อพิจารณาถึงความคุ้มค่าให้ชัดเจนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง

เผยรายงานฉบับล่าสุดมาสเตอร์การ์ด

นอกจากนี้ นางวิวรรณ ยังกล่าวถึงรายงานฉบับล่าสุดจากมาสเตอร์การ์ดในหัวข้อ “พลังสตรีและการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย” ว่า ผลจากศึกษาดังกล่าวพบว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในตลาดต่างๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเปิดโอกาสให้แก่สตรี ซึ่งมีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมด โดยในส่วนของประเทศไทย พบว่า อัตราการมีส่วนร่วมของสตรีไทยในภาคแรงงานนั้น อยู่ในระดับที่ดีมาก เนื่องจากการฝากดูแลบุตรหลาน และผู้สูงอายุนั้นมีราคาไม่สูงนัก และยังมีวัฒนธรรมแบบเครือญาติที่คนในครอบครัวพร้อมให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการมีทัศนคติที่ดีต่อการจ้างงานสตรีไทยในสถานที่ทำงาน

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตการเข้าร่วมในภาคการทำงานของสตรีอาจจะลดลง เนื่องจากสตรีที่ทำงานมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้ฐานทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ทำให้มีต้องการที่จะเกษียณก่อนกำหนดมากขึ้น รวมถึงจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการดูแลที่สูงขึ้น จึงน่าจะออกจากระบบการทำงานมาดูแลตรงนี้มากขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องเพิ่มเติมในส่วนของสถานดูแลผู้สูงวัย หรือเด็กก่อนวัยเรียนมากขึ้น เพื่อให้สตรีสามารถอยู่ในระบบการทำงานได้ยาวนานขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น