ศูนย์วิเคราะห์ TMB Analytics มองวิกฤตภัยแล้ง ปี 56 อาจรุนแรงกว่าคาด หลังน้ำในเขื่อนใหญ่ต่ำกว่าวิกฤตแล้งเมื่อปี 48 เตือนรัฐบาลเตรียมแผนรับมือ ยอมรับ ผลของภัยแล้งที่ขยายพื้นที่กว้างขึ้น พบว่าขณะนี้มีพื้นที่เกษตรได้รับผลกระทบแล้วประมาณ 4 ล้านไร่ โดยกว่า 95% เป็นพื้นที่ปลูกข้าว
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB Analytics เปิดเผยว่า ภัยแล้งปี 2556 เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 อาจยาวนานถึงพฤษภาคม 2556 ขณะนี้ได้เกิดภัยแล้งแล้ว 35 จังหวัด ภาคอีสานแล้งหนักถึง 15 จังหวัด และภาคเหนือ 13 จังหวัด สาเหตุจากปริมาณน้ำฝนตกปี 2555 น้อยกว่าปี 2554 โดยเฉลี่ยทั้งประเทศมีปริมาณฝนตกสะสมเฉลี่ย 1,482.4 มิลลิเมตร ลดลง 5.0% จากค่าเฉลี่ยกลาง และลดลง 18.1% จากปี 2554
โดยภาคอีสาน และภาคเหนือมีปริมาณฝนตกลดลง 28.5% และ 27.8% ตามลำดับ จากปี 2554 ทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนขนาดใหญ่ และอ่างเก็บน้ำลดลง ประกอบกับการเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนเนื่องจากหวั่นจะเกิดวิกฤตน้ำท่วมเช่นเดียวกับปี 2554 ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่ภาคเหนือ ที่เป็นแหล่งน้ำให้แก่ภาคเหนือ และภาคกลาง มีปริมาตรน้ำใช้การ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2556 เพียง 17.8% ลดลงจากอดีตที่ 40.1% ในช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ภัยแล้งภาคอีสานนั้นเข้าขั้นวิกฤตกว่า มีปริมาตรน้ำใช้การเพียง 13.1% ลดจากอดีตที่ 31.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน นับเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวจะต้องบริหารจัดการให้เพียงพอกับฤดูแล้งระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม แต่หากฝนทิ้งช่วงในต้นฤดูฝนจะยิ่งทำให้วิกฤติภัยแล้งรุนแรงขึ้นอีก
ผลของภัยแล้งที่ขยายพื้นที่กว้างขึ้นพบว่า ขณะนี้มีพื้นที่เกษตรได้รับผลกระทบแล้วประมาณ 4 ล้านไร่ โดยกว่า 95% เป็นพื้นที่ปลูกข้าว ทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คาดว่า ปริมาณข้าวนาปรังที่จะเข้าโครงการรับจำนำลดลงจากที่ประมาณการไว้ 11 ล้านตัน เหลือเพียง 7-8 ล้านตันเท่านั้น
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศงดการปลูกข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ในเขตพื้นที่ชลประทาน เพราะปริมาณน้ำอาจไม่เพียงพอ แต่ปรากฏว่า พื้นที่เพาะปลูกในเขตชลประทานลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยากลับสูงกว่าแผนเดิมกว่า 0.92 ล้านไร่ จากที่กำหนดไว้ 5.40 ล้านไร่
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี รายงานว่า หากศึกษาเทียบกับผลกระทบของวิกฤตภัยแล้งครั้งใหญ่ในปี 2548 มีพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบกว่า 13.7 ล้านไร่ พบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรของไทย หดตัว 2.7%โดยภาคเหนือ และภาคอีสาน หดตัว 4.8% และ 2.8% และเมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัด เฉพาะภาคเกษตรพบว่า จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งรุนแรงในภาคเหนือ คือ สุโขทัย ตาก และแพร่ มีการหดตัว 17.0%, 13.6% และ 13.0% ส่วนในภาคอีสานพบว่า จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคือ อุดรธานี มุกดาหาร นครราชสีมา ชัยภูมิ ซึ่งตัวเลขหดตัวเกินกว่า 10.0% จากปีก่อน
การหดตัวดังกล่าวเกิดจากรายได้ของเกษตรลดลง เนื่องจากไม่สามารถทำการเกษตรได้ตามปกติ ผลผลิตตกต่ำเนื่องจากขาดน้ำ รวมถึงการระบาดของโรค และแมลงต่างๆ ในช่วงที่เกิดภัยแล้ง โดยจังหวัดดังกล่าวเป็นพื้นที่เกิดภัยแล้งซ้ำซาก และคาดว่าหากฝนยังคงทิ้งช่วงในต้นฤดูฝน อาจทำให้บางจังหวัดที่กล่าวมาแล้วได้รับผลกระทบสูงกว่าวิกฤตภัยแล้ง 2548 เพราะปีนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนที่ใช้การได้เหลือน้อยกว่าในปี 2548 ค่อนข้างมาก
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ระบุด้วยว่า แนวทางป้องกันความเสียหายสำหรับเกษตรกร และประชาชน คือ การงดปลูกพืชตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อประหยัดน้ำ แต่เป็นการลดความเสียหายจากภัยแล้งที่อาจจะได้รับ สำรองน้ำให้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค และภาครัฐควรมีแผน หรือมาตรการระยะสั้นสำหรับภัยแล้งฉับพลันที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ทันที อีกทั้งหาทางแก้ปัญหาวิกฤตภัยแล้งระยะยาว โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่แล้งซ้ำซาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และภาคอีสาน เพื่อบรรเทาความเสียหาย และสามารถใช้พื้นที่ในการเกษตรได้ในฤดูแล้ง