ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ “ทีเอ็มบี” ชี้ความร้อนแรงของสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ขยายตัวถึง 20% น่ากังวล เพราะตัวเลขหนี้ครัวเรือนมีผลต่อการพิจารณาดอกเบี้ย
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสัญญาณสินเชื่อบุคคลที่มีผลกับการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยว่า การคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ ในการประชุมวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ ถือว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คาดให้ถูกต้องได้ยาก เพราะตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมาในไตรมาสแรก ให้สัญญาณแบบก้ำกึ่งว่าจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายหรือไม่ รวมถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 5.3% ในไตรมาสแรก ที่ถือว่ายังเป็นอัตราที่อยู่ในระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ถึงแม้แรงขับเคลื่อนของการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชนจะอ่อนลงกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถละเลยประเด็นความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ ที่การประชุม กนง. ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาได้แสดงความกังวลเอาไว้ โดยเฉพาะในมุมของการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลในไตรมาสแรกเติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งแม้ขนาดการเติบโตดังกล่าวจะชะลอลงจากไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วที่เติบโตถึง 22% แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยสถิติช่วงสามปีก่อนหน้าที่อยู่ในช่วง 14-15% โดยหากพิจารณาส่วนประกอบหลักๆ ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีสัดส่วน 45% สินเชื่อเช่าซื้อรถสัดส่วน 29% และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ (เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อเงินสด) สัดส่วน 24% พบว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้มีความผิดปกติ โดยยังอยู่ราวๆ ค่าเฉลี่ยประมาณ 13-14% สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อรถก็ไม่ได้เติบโตสูงเกินไปกว่าข้อมูลในอดีตที่เคยเติบโตในระดับ 30% มาแล้ว
แต่จุดน่าสนใจอยู่ที่สินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ ที่อัตราการเติบโตเริ่มทะยานมาตั้งแต่ปี 2554 และหากลงไปลึกถึงส่วนประกอบของสินเชื่อนี้ พบว่าสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “สินเชื่อเงินสด” นั้น กลับเติบโตในอัตราเร่งขึ้นไปอีก คือ 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2555 โดยเป็นอัตราที่มากกว่าการเติบโตเมื่อปี 2554 และ 2555 ที่ 16% และ 19% ตามลำดับ ซึ่งสินเชื่อดังกล่าวเป็นสินเชื่อที่เอาไปกินไปใช้ล้วนๆ และเป็นสัญญาณเสี่ยงของหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเปรียบเทียบการเติบโตของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเห็นได้ว่า การเติบโตของสินเชื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตที่ประมาณ 14-16% ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 3% หรือสูงกว่าเล็กน้อย เพราะฉะนั้น หากผลการประชุม กนง. ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ ตัดสินใจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต้องลดลงตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ จะเพิ่มความโน้มเอียงในการบริโภคมากกว่าการออม จากผลตอบแทนทางการออมที่ไม่จูงใจพอ ซึ่งอาจส่งผลให้สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวต่อไป
ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน การเติบโตของสินเชื่อที่เร่งตัวในระดับกว่า 20% ในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา จึงยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้น้ำหนัก และดูแลต่อไป ไม่ว่าจะผ่านการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือการใช้มาตรการเสริมอื่นๆ (prudential measures) ควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ย เพื่อสกัดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง