บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ คาดเตรียมเข้าเทรดตลาดหุ้นไทยทันปลายปีนี้ เตรียมระดมทุนขายหุ้น IPO ขยายโรงงานเพิ่ม รองรับตลาดอาเซียนที่มีกำลังซื้อมากขึ้น พร้อมบุกตลาดสุขภาพในกาฬทวีป เหตุคู่แข่งน้อย โอกาสทำกำไรสูง
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้าผู้ฝึกอบรม บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ หรือ MEGA กล่าวว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการขอยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการรออนุมัติ คาดว่าจะสามารถเปิดทำการซื้อขายได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยครั้งนี้ทั้งหมด 216.31 ล้านหุ้น โดยทุนจดทะเบียนที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น โดยแบ่งสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 75% และที่จะทยอยขายให้นักลงทุนจำนวน 25% ซึ่้งหลังจากที่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนขายหุ้น IPO ส่วนหนึ่งไปก่อสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตตามความต้องการของตลาดที่มากขึ้น และรองรับการขยายตัวของตลาดอาเซียนที่มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ บริษัทมีที่ดินเปล่าประมาณ 30 ไร่ เพื่อรองรับการก่อสร้างโรงงานในอนาคต ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 1 เท่าตัว ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมในการสร้างโรงงานใหม่ และจัดซื้อเครื่องจักรเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ลงทุนควบรวมกิจการแบรนด์ผลิตภัณฑ์ยาอมสมุนไพร ยูกิก้า ของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 6 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมองว่าการเข้าไปทำตลาดใหม่ในต่างประเทศอาจใช้เวลานาน และต้นทุนสูงขึ้น แต่การเข้าไปควบรวมกิจการในแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงอยู่แล้ว จะสามารถทำกำไรได้มากกว่า ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในช่วงของการขอสิทธิบัตรเพื่อผลิต และส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเตรียมเจรจาการขายในตลาดใหม่คือ ทวีปแอฟริกา ได้แก่ ประเทศกานา, กินี, เคนยา, ยูกันดา แทนซาเนีย, ยูดาน และรวันดา ซึ่งคาดว่าภายในระยะเวลา 10-20 ปี ตลาดในทวีปนี้จะเติบโตขึ้นถึง 2 เท่า
ทั้งนี้บริษัทฯ มีกิจการหลักแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ เมก้า วี แคร์ ผลิตอาหารเสริมและวิตามิน โดยมีโรงงาน 2 แห่งในประเทศไทย และแห่งที่ 3 อยู่นอกเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งผลิตวิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนอีกหนึ่งธุรกิจคือ แมกซ์แคร์ ดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม กัมพูชา และพม่า ดำเนินงานด้านการกระจายสินค้าให้แก่บริษัท และธุรกิจแวร์เฮาส์
อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าเติบโตในปีนี้หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต่ำกว่า 20% เทียบจากผลประกอบการกำไรสุทธิทั้งใน และต่างประเทศของปีที่แล้ว จำนวน 6,034 ล้านบาท ซึ่งมาจากการขายสินค้าแบรนด์เมก้า 2,700 ล้านบาท ธุรกิจแมกซ์แคร์ 2,776 ล้านบาท และรายได้จากการรับจ้างผลิตสินค้าสุขภาพ OEM จำนวน 500 ล้านบาท โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากผลประกอบการในปีนั้นๆ