ตลท.แจงหุ้นร่วงหนักรอบสัปดาห์ เหตุนักลงทุนทั่วโลกหวั่นเฟดถอน QE เดือนหน้า โยกเงินลงทุนกลับฐาน เผยไม่กระทบตลาดหุ้นไทยเพราะอดีตเม็ดเงินเคยไหลออกกว่าแสนล้าน สมัยมาร์เกตแคป 3-4 ล้านล้าน ยันเม็ดเงินต่างชาติใหลออกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแค่ 7 หมื่นล้านบาท เทียบมาร์เกตแคป ที่ 12.1 ล้านล้านบาท ไม่น่ากังวลเหตุปัจจัยพื้นฐานประเทศไทยยังน่าลงทุน
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงระยะเวลา 2-3 วันนี้เป็นการปรับตัวในทิศทางสอดคล้องตลาดหุ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ขณะนี้ ยังชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่นำเงินโยกย้ายเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเห็นจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่ง ตลท.ได้รายงานสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยให้แก่รัฐบาลทราบอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษมาดูแลภาวะการซื้อขายหุ้น เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) ปรับตัวลดลงมาประมาณ 2% ถือว่าดีกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ลดลงมาประมาณ 2.63% และตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 2.3% ซึ่งล่าสุด นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิออกไปจากตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเป็นเงินกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยแนวโน้มอนาคตอาจจะยังมีนักลงทุนขายหุ้นออกไปอีก เพราะขณะนี้ตลาดทุนโดยรวมยังเน้นไปทางด้านขายมากกว่าซื้อ แต่ทั้งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เคยมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไปแล้วกว่า1 แสนล้านบาท และขณะนี้ต่างชาติยังมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ถึง 3-4 ล้านล้านบาท จากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือ มาร์เกตแคป ที่อยู่ในระดับ 12.1 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมาถึงการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากนั้นปรับตัวลดลงอย่างข้างมาก ซึ่งรวมไปถึงตลาดทองคำ ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ตลาดเมื่อมีข่าวดีเข้ามาก็จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน หากมีข่าวร้ายเข้ามาก็จะปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลท.จะยังคงเป้าหมายมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปที่ 21 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าในอนาคตตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศถือว่าดีกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะการลงทุนจากนโยบายภาครัฐ และโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยด้วย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังมีการเติบโตต่อเนื่องปีละราว 10% อีกทั้งประเทศไทยมีหนี้สาธารณะและหนี้ต่างประเทศในระดับต่ำ