“ธนชาต” เผยครึ่งปีแรกสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่-รถแลกเงินทะลุเป้า รับราคารถมือสองวูบยอดยังไม่เข้าเป้า หวังปลายปีราคากระเตื้อง เตรียมจัดแคมเปญหนุน
นายธีรชาติ จิรจรัสพร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เช่าซื้อ ธนาคาร ธนชาต จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา สินเชื่อเช่าซื้อของโดยรวมของธนาคารในช่วง 6 เดือนแรก มียอดคงค้างประมาณ 90,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยในส่วนของสินเชื่อรถใหม่ และสินเชื่อรถแลกเงินมียอดสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด
ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถใช้แล้วนั้นยังต่ำกว่าเป้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก และรถอีโคคาร์ที่มีราคาต่ำ ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ธนาคารจับตาดูอยู่ โดยปัจจุบัน ธนาคารสัดส่วนสินเชื่อรถแลกเงิน และรถมือสอง 30% ของพอร์ตสินเชื่อรวม อีก 70% เป็นส่วนของรถใหม่ ซึ่งผลกระทบก็จะมีทั้งส่วนที่สินเชื่อรถมือสองที่ชะลอตัวลง และกรณีของผู้กู้ที่ขาดชำระค่างวด โดยบางส่วนก็ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อปีนี้ที่ 10% และอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองซึ่งอาจจะต่ำกว่าเป้า แต่จะอยู่ในอัตราเท่าไหร่คงต้องรอผลการพิจารณาอีกครั้ง
“มูลค่าของรถไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ หรือรถใช้แล้วก็ลดลงอยู่แล้วในแต่ละปี ปีแรกมากที่สุด แล้วก็ค่อยลดลงมา แต่ราคารถมือสองตกลงไปกว่าการเสื่อมมูลค่าปกติตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาประมาณ 5-10% แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะส่่งไปถึงเท่าไหร่ ก็คงต้องรอดูไปก่อน”
นายธีรชาติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตามความคิดเห็นของตนคาดว่าราคารถมือสองน่าจะลดลงจนถึงปลายปีนี้ ก็น่าจะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาแล้ว เพราะถือว่าราคาลดลงจนถึงระดับที่จูงใจต่อการเข้าซื้อของประชาชนที่ต้องการซื้อรถแล้ว และทางธนาคารเองก็จะมีการจัดแคมเปญต่างๆ ร่วมกับเต็นท์รถเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย
“เรื่องส่งเสริมการขายร่วมกับเต็นท์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำ เพราะว่าเราถือว่าเป็นผู้นำของตลาด ซึ่งเมื่อคิดว่าราคาที่ลงน่าจะถึงระดับที่จะมีความต้องการซื้อเข้ามาแล้ว ก็ควรมีการส่งเสริมการขาย เพราะเมื่อรถส่วนนี้ขายออก น่าจะดีต่อทุกฝ่ายทั้งเต็นท์รถ ผู้ซื้อ รวมถึงผู้ที่ปล่อยกู้ด้วย”
ผลประกอบการ Q2 กำไรโต 109%
อนึ่ง ผลประกอบการ 6 เดือนของบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ของธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 4,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นธนชาตประกันชีวิต ให้แก่ พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ในขณะที่ผลการดำเนินงานปกตินั้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังสามารถเติบโตได้ จากการขยายตัวของสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงินก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่เนื่องจากไตรมาสนี้มีการหยุดรับรู้รายได้ของลูกหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงเล็กน้อย ด้านค่าใช้จ่ายก็ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายประเภทค่าใช้จ่ายคงที่ได้อย่างดี ด้านสำรองปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการตั้งสำรองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนในอนาคต
ทั้งนี้ การขายหุ้นบริษัทย่อยออกไปนั้น ส่งผลดีต่อฐานะทางการเงินของธนาคาร และกลุ่มธนชาตในหลายด้าน เช่น สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง อีกทั้งการนำเงินที่ได้มาตั้งสำรองก็จะทำให้ธนาคาร และกลุ่มธนชาตมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สำหรับไตรมาสนี้ NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปรับลดชั้นของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองหลังหักมูลค่าหลักประกันเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร และกลุ่มธนชาต และธนาคารจะดำเนินการติดตามดูแลลูกหนี้ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป
นายธีรชาติ จิรจรัสพร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เช่าซื้อ ธนาคาร ธนชาต จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา สินเชื่อเช่าซื้อของโดยรวมของธนาคารในช่วง 6 เดือนแรก มียอดคงค้างประมาณ 90,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยในส่วนของสินเชื่อรถใหม่ และสินเชื่อรถแลกเงินมียอดสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด
ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถใช้แล้วนั้นยังต่ำกว่าเป้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก และรถอีโคคาร์ที่มีราคาต่ำ ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ธนาคารจับตาดูอยู่ โดยปัจจุบัน ธนาคารสัดส่วนสินเชื่อรถแลกเงิน และรถมือสอง 30% ของพอร์ตสินเชื่อรวม อีก 70% เป็นส่วนของรถใหม่ ซึ่งผลกระทบก็จะมีทั้งส่วนที่สินเชื่อรถมือสองที่ชะลอตัวลง และกรณีของผู้กู้ที่ขาดชำระค่างวด โดยบางส่วนก็ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อปีนี้ที่ 10% และอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองซึ่งอาจจะต่ำกว่าเป้า แต่จะอยู่ในอัตราเท่าไหร่คงต้องรอผลการพิจารณาอีกครั้ง
“มูลค่าของรถไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ หรือรถใช้แล้วก็ลดลงอยู่แล้วในแต่ละปี ปีแรกมากที่สุด แล้วก็ค่อยลดลงมา แต่ราคารถมือสองตกลงไปกว่าการเสื่อมมูลค่าปกติตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาประมาณ 5-10% แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะส่่งไปถึงเท่าไหร่ ก็คงต้องรอดูไปก่อน”
นายธีรชาติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตามความคิดเห็นของตนคาดว่าราคารถมือสองน่าจะลดลงจนถึงปลายปีนี้ ก็น่าจะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาแล้ว เพราะถือว่าราคาลดลงจนถึงระดับที่จูงใจต่อการเข้าซื้อของประชาชนที่ต้องการซื้อรถแล้ว และทางธนาคารเองก็จะมีการจัดแคมเปญต่างๆ ร่วมกับเต็นท์รถเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย
“เรื่องส่งเสริมการขายร่วมกับเต็นท์ก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำ เพราะว่าเราถือว่าเป็นผู้นำของตลาด ซึ่งเมื่อคิดว่าราคาที่ลงน่าจะถึงระดับที่จะมีความต้องการซื้อเข้ามาแล้ว ก็ควรมีการส่งเสริมการขาย เพราะเมื่อรถส่วนนี้ขายออก น่าจะดีต่อทุกฝ่ายทั้งเต็นท์รถ ผู้ซื้อ รวมถึงผู้ที่ปล่อยกู้ด้วย”
ผลประกอบการ Q2 กำไรโต 109%
อนึ่ง ผลประกอบการ 6 เดือนของบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ของธนาคารมีกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 4,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นธนชาตประกันชีวิต ให้แก่ พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ในขณะที่ผลการดำเนินงานปกตินั้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังสามารถเติบโตได้ จากการขยายตัวของสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงินก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่เนื่องจากไตรมาสนี้มีการหยุดรับรู้รายได้ของลูกหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงเล็กน้อย ด้านค่าใช้จ่ายก็ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายประเภทค่าใช้จ่ายคงที่ได้อย่างดี ด้านสำรองปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการตั้งสำรองเพิ่มเติมเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนในอนาคต
ทั้งนี้ การขายหุ้นบริษัทย่อยออกไปนั้น ส่งผลดีต่อฐานะทางการเงินของธนาคาร และกลุ่มธนชาตในหลายด้าน เช่น สภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง อีกทั้งการนำเงินที่ได้มาตั้งสำรองก็จะทำให้ธนาคาร และกลุ่มธนชาตมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สำหรับไตรมาสนี้ NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปรับลดชั้นของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ธนาคารได้ดำเนินการตั้งสำรองหลังหักมูลค่าหลักประกันเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร และกลุ่มธนชาต และธนาคารจะดำเนินการติดตามดูแลลูกหนี้ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป