“ทิสโก้” เผยแผนงานครึ่งปีหลัง หันเน้นกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง หลังเช่าซื้อรถชะลอ หมดอานิสงส์รถคันแรก ขณะที่รถมือสองรับผลกระทบราคาตก ดันหนี้เน่าเพิ่ม ครึ่งปีหลังสั่งชะลอ ส่วนครึ่งปีแรกไปได้สวยสินเชื่อขยาย 13% กำไรโต 31.7%
นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า กลยุทธ์ในครึ่งหลังของปี 56 นั้น จากทิศทางสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ชะลอตัวลงเข้าาสู่ภาวะปกติหลังหมดโครงการรถคันแรก ธนาคารจะหันมาเน้นธุรกิจตัวอื่นมากขึ้นเพื่อทดแทน โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง ซึ่งจะให้ความสำคัญในการให้บริการอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร มากกว่าการออกผลิตภัณฑ์เป็นชิ้นๆ จึงเชื่อว่าจะทำให้สินเชื่อในปีนี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15-20% จากครึ่งปีแรกที่เติบโต 13%
นอกจากนี้ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลบริหารความเสี่ยง รวมถึงการบริหารแบรนด์ที่ธนาคารประเมินแล้วว่าถึงเวลาที่ควรจะขยายการรับรู้ต่อแบรนด์ในวงกว้างกว่านี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือในแนวทาง
“เรื่องการชะลอตัวลงของสินเชื่อเช่าซื้อนั้นเป็นเรื่องที่ธนาคารเองได้คาดการณ์ไว้แล้ว หลังจากในปีแรกยังขยายตัวได้สูง เพราะรับอานิสงส์จากโครงการรถคันแรก ขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเปราะบาง จึงคาดว่าสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะโตในลักษณะที่ชะลอตัวลงบ้าง แต่ก็น่าจะเป็นไปตามเป้า 15-20% ค่อนไปทาง 20% ได้ และทางศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของธนาคารก็ได้ปรับลดประมาณการจีดีพีเหลือ 4.5% จากเดิมที่ 4.7% ด้วย”
นายสุทัศน์ เรื่องมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า การเติบโตของธนาคารทิสโก้ในช่วง 6 เดือนแรก ยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวอยู่ที่ 13% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรวมมีการขยายตัวอยู่ที่ 12.5% และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อนุมัติใหม่ขยายตัวอยู่ที่ 11.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน แม้จะไม่มีนโยบายรถคันแรกเป็นตัวกระตุ้น ส่วนสินเชื่อธุรกิจเพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มขึ้น 26.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ทั้งนี้ ในด้านคุณภาพของสินทรัพย์ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.28% มาอยู่ที่ 1.45%
ด้านผลกำไรมีกำไรสุทธิ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.7% จากครึ่งปีแรกของปี 2555 จากการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียม และการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ
แจงรถมือสองราคาวูบ ทำ NPL เพิ่ม
นายสุทัศน์ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของ NPL นั้น มีสาเหตุมาจากราคาของรถมือสองที่ลดลงอย่างมาก หลังจากโครงการถคันแรกออกมา แต่คาดว่าทั้งปี NPL ไม่น่าจะเกิน 1.5% เนื่องจากราคารถมือสองที่ตกลงน่าจะทรงตัวแล้ว และส่วนที่ต้องปรับโครงสร้างก็ทยอยทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ได้มีการกันสำรองไว้อย่างครอบคลุมแล้ว โดยมีสำรองส่วนเกินอยู่ 2.3 พันล้านบาท
นอกจากการเร่งดูแลลูกค้ารถมือสองที่มีอยู่แล้ว ในช่วงครึ่งปีหลังก็จะชะลอการปล่อยสินเชื่อรถมือสองลง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต จากปัจจุบันที่ธนาคารมียอดคงค้างสินเชื่อรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท เป็นส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถ 65% โดยมีสัดส่วนของรถมือสองที่ 20% ซึ่งก็ไม่มากนัก และเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้
“ราคารถมือสองตกลงมาก ซึ่งธนาคารก็ได้ปรับราคาประเมินลงเหลือ 75% แล้วปล่อยสินเชื่อวงเงิน 80-90% ซึ่งเท่าที่พฤติกรรมของลูกค้ารถมือสองแล้ว ก็ไม่ได้ถึงกับทิ้งรถ แต่จะเริ่มจ่ายช้า”
ด้านทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีนั้น น่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดิม 2.50% หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ 2.3-2.4% ซึ่งก็มีความเป็นไปได้เนื่องจากราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ดังนั้น ระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ก็มีความเหมาะสมอยู่แล้ว
“เมื่อต้นปีที่เงินบาทผันผวนมาก เงินบาทแข็งค่ามาก ทำให้มีการนำปัจจัยดังกล่าวมากดดันให้ดอกเบี้ยลดลง แต่ขณะนี้เงินบาทกลับมาทรงตัวที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ จากที่แข็งค่าสุดที่ระดับ 28.50 บาท จึงทำให้ปัจจัยนี้ไม่กดดันดอกเบี้ยอีก ดังนั้น ก็น่าจะทรงตัวอยู่ที่ 2.50%ได้”
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามก็คือ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่คิดว่ายังเร็วไปที่จะบอกว่าฟื้นตัวหรือไม่ แต่คาดการชะลอ หรือหยุด QE3 คงจะไม่ทันตามกำหนดปลายปีนี้ จากเงื่อนไขที่อัตราการว่างงานจะต้องลดลงเหลือ 6.5% ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะทำให้เกิดความผันผวนด้านเงินทุนอีกระลอก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ต่างๆค่อนข้างมาก