“ปูนอินทรี” เผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกรายได้สุทธิ 15,064 ล้านบาท โตจากปี 55 กว่า 11.8% แจงกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 35.6% พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 8.00 บาท คาดครึ่งปีหลังความต้องการวัสดุก่อสร้าง-ปูนซีเมนต์ยังเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับต้นทุนการผลิต
นายฟิลิป อาร์โต้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 15,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากช่วงเดียวกันของปี 55 ที่มีรายได้อยู่ที่ 13,480 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 35.6% เป็น 2,832 ล้านบาท จาก 2,088 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 55 และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีแรก 12.32 บาท เทียบกับ 9.08 บาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ยอดขายสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ อีกทั้งราคาซีเมนต์สำหรับตลาดในประเทศ และตลาดชายแดน ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 56 โดยความต้องการวัสดุก่อสร้างยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการเจริญเติบโตในกิจกรรมการก่อสร้างเชิงพาณิชย์
สำหรับค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตของบริษัทยังคงที่ แม้ว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นของค่าไฟฟ้า อัตราค่าจ้าง และต้นทุนค่าขนส่ง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหิน รวมถึงการพัฒนาโครงการต่างๆ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานความร้อน การผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้ง และการใช้พลังงานทดแทน ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ใน 6 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรสุทธิ 18.8%
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 8.00 บาท เทียบกับอัตราหุ้นละ 7.00 บาทที่จ่ายระหว่างกาลในปี 2555 โดยบริษัทฯ ได้กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินผล (Record date) ในวันที่ 16 สิงหาคม 2556 และวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลคือวันที่ 19 สิงหาคม 2556
นายฟิลิป กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดว่าปริมาณความต้องการของตลาดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี แต่ค่าใช้จ่ายการสำหรับการผลิตจะขยับสูงขึ้น อันเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงเตาเผาตามที่แผนการที่วางไว้สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี
