“กสิกรไทย” มั่นใจความต้องการเงินทุนยังมีอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีดีลในมือกว่า 1.8 แสนล้าน ดันรายได้ค่าฟีโตได้ 16% แต่เตือนเงินทุนเคลื่อนย้ายยังต้องระวัง เหตุมีความผันผวนสูง
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK)เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารเชื่อมั่นว่ารายได้ค่าธรรมเนียมของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่จะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เติบโตได้ 12% เนื่องจากตลาดเงิน และตลาดทุนยังคงมีความเอื้ออำนวยต่อทิศทางการระดมทุน
ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย แม้ว่าจะมีกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลจากการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคแต่ก็ไม่มากนัก
ทั้งนี้ ดีลในการดูแลของธนาคารขณะนี้มีจำนวน 1.5-2 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วง 12-18 เดือนนับจากนี้ ซึ่งก็มีทั้งที่อยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้าง และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเป็นหลัก และในเร็วๆ นี้ จะเปิดเผยผลการเจรจาดีลการระดมทุนจากตลาดขนาดใหญ่ 1 ดีล และมีดีลควบรวมอีก 2-3 ดีล ซึ่งเป็นพันธมิตรจากต่างประเทศที่ต้องการมาลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจอาหารในไทย ส่วนการออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 1-2 ดีล มูลค่า 8,000-10,000 ล้านบาท ในกลุ่มธุรกิจพลังงาน
“ในปีหน้านั้นทิศทางการลงทุนน่าจะดีกว่าปีนี้ ซึ่งคาดว่าภาคการลงทุนเอกชนจะเติบโต 4% โดยรับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่จะปรับตัวเข้าสู่สมดุล และเติบโตอย่างยั่งยืน และหากมีการลงทุนของภาครัฐเข้ามาเสริม ในปีหน้าภาคการลงทุนเอกชนน่าจะเติบโตได้ 5% ซึ่งหมายถึงความต้องการเงินทุนจะยังมีอยู่ต่อเนื่อง”
นายภานพ อังศุสิงห์ ผู้บริหารสายงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า โครงการที่ธนาคารกำลังดำเนินการอยู่ที่มูลค่ารวมกว่า 180,000 ล้านบาทนั้น มีทั้งในส่วนของการระดมทุนทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) การระดมทุนผ่านกองทุน ทั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) การออกหุ้นกู้ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่ธนาคารได้เป็นผู้จัดทำเป็นธนาคารแรกในไทย จึงมั่นใจผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งรายได้และยอดการปล่อยสินเชื่อ
นายภานพ กล่าวว่า ในปี 56 จะมีความต้องการสินเชื่อ และระดมทุนโดยธุรกิจรายใหญ่เพิ่มขึ้นมาที่ 7.5% และเพิ่มเป็น 8% ในปี 57 เพราะผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ยังมีความต้องการในการระดมทุนเพื่อขยายตัวของกิจการรองรับเออีซี หรือเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น แม้ว่าช่วงครึ่งหลังปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตชะลอลงตามที่คาดการณ์ไว้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจลงเหลือ 4% จาก 4.8% จากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การปรับโครงสร้างองเศรษฐกิจจีน และความล่าช้าของโครงการภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ผู้ประกอบการก็จะต้องระมัดระวังในเรื่องของเงินทุนเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วขึ้น จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการระดมทุนที่เหมาะสม แต่มุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจใน 2 ปีข้างหน้า ธนาคารมองว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางหลัก แม้ว่าความผันผวนจะเกิดขึ้นได้ แต่ความต้องการจากตลาดเงิน และตลาดทุนในภาพรวมยังมีอยู่ จึงยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่มองหาลู่ทางในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของกิจการ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งเตรียมตัวให้พร้อมรับโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว