“จรัมพร” มั่นใจ “ต่างชาติ” กลับเข้าตลาดหุ้นไทย หลังถอนเงินออกไปกว่า 8 หมื่นล้าน ระบุช่วง 12-18 เดือนจากนี้ เม็ดเงินนอกยังต้องหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูง มั่นใจไทยเป็นเป้าหมายของนักลงทุน เตรียมปรับเป้าวอลุ่ม ก.ค.นี้ เพื่อรับมือเม็ดเงินไหลกลับ พร้อมหนุนธุรกิจเข้าระดมทุน เพราะระดับดัชนีในปัจจุบันถือเป็นจุดที่ดีสุดในรอบ 17-18 ปีที่ผ่านมา
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติจะยังกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แม้ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี ต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยออกไป 80,975 ล้านบาท เนื่องจากกังวลต่อการถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่า 12-18 เดือนจากนี้ นักลงทุนต่างชาติจะยังหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง
ทั้งนี้ นายจรัมพร เชื่อว่า ตลาดหุ้นเอเชีย และไทยยังเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุน ขณะเดียวกัน ตลท. เตรียมปรับมูลค่าการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น หลังจากที่ในช่วงครึ่งแรกมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงถึงถึง 60,000 ล้านบาท จากเดิมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 32,000 ล้านบาทต่อวัน
นายจรัมพร กล่าวด้วยว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนแต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น เพราะระดับดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบันเป็นระดับที่ดีที่สุดในรอบ 17-18 ปีที่ผ่านมา
นายจรัมพร ยังกล่าวในงานมหกรรม “ชวนคนไทย ใช้กองทุนรวม” ในวาระก้าวสู่ปีที่ 10 ในโครงการให้เงินทำงาน ผ่านกองทุนรวม ของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยระบุว่า สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนรวมในปัจจุบัน มีกองทุนรวมเพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนได้ถึง 1,400 กองทุน โดย ณ เดือนมิถุนายน 2556 กองทุนรวมมีมูลค่าสินทรัพย์ 2.78 ล้านล้านบาท มีบัญชีผู้ถือหน่วยลงทุน 3.55 ล้านบัญชี ซึ่งเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 4.5 เท่า เมื่อเทียบกับ ปี 2546 ที่มีการลงทุนผ่านกองทุนรวมครั้งแรกในประเทศ เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวม นอกจากเป็นช่องทางในการออมแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการระดมทุน ซึ่งนักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น
ทั้งนี้ จากปริมาณกองทุนรวมที่เพิ่มขึ้น เชื่อว่าในอนาคตนักลงทุนจะให้ความสนใจลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น โดยที่ผ่านมา กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ได้มีการเติบโตถึงร้อยละ 25 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เติบโตถึงร้อยละ 21 ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เติบโตร้อยละ 61 กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศเติบโตร้อยละ 50 กองทุนรวมหุ้นเติบโตร้อยละ 18 และกองทุนรวมตราสารหนี้เติบโตร้อยละ 27
นายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมกองทุนรวมในช่วงครึ่งปีหลังยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่อัตราการขยายตัวอาจจะชะลอลง เฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากตลาดทุนทั่วโลก และตลาดทุนไทยมีความผันผวนมากจากการรอความชัดเจนเกี่ยวกับการลด และถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีน
นายจงรัก เชื่อมั่นว่า กองทุนตราสารทุนยังเป็นที่สนใจของนักลงทุน เพราะยังให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ แต่การทำกำไรของกองทุนให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ต้องใช้ระยะเวลา และกลยุทธ์ในการบริหารกองทุนมากกว่าเดิม เพราะภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวน ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขัน โดยเฉพาะจากเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องมีการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพราะได้มีการปรับลดอัตราการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนลง เหลือโตร้อยละ 15-20 หลังจากที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยถูกปรับลดลงเหลือโตร้อยละ 4 โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนมากกว่าร้อยละ 50 ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ และทองคำ