การลงทุน คือทางเลือกในการบริหารเงินออมที่มีอยู่ให้งอกเงยตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ในขอบข่ายของความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ หากเสี่ยงมากก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมาก เสี่ยงน้อยก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อย
ดังนั้น ก่อนพิจารณาตัดสินใจเลือกลงทุน ผู้ลงทุนต้องถามตัวเองว่าจะวางเป้าหมายการลงทุนไว้อย่างไรแล้วยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้นั้นนอกจากนิสัยใจคอหรือความชอบส่วนตัวแล้วก็ยังมีอายุ ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ฐานะการเงินในปัจจุบัน ความสามารถในการหารายได้ในอนาคต หรือแม้กระทั่งว่า ณ ตอนนี้เรามีเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเพียงพอแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นต้น
แนวทางการลงทุนแบบกลางๆ โดยอ้างอิงกับสมมติฐานในลักษณะของคนทั่วๆ ไปเกี่ยวกับปัจจัยและข้อจำกัดในการลงทุนในแต่ละช่วงอายุของคนเรามีดังต่อไปนี้ คือ
- อายุ 21-30 ปี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยังไม่มีภาระต้องรับผิดชอบมากนัก และเป็นวัยที่ยังมีเวลาและมีกำลังในการหารายได้อีกนาน ดังนั้นคนในช่วงวัยนี้จึงสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงได้เกือบทั้งหมดเพราะอยู่ในวัยที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้มาก และหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็มีเวลามากเพียงพอที่จะเรียนรู้ แก้ไขข้อผิดพลาดนั้น โดยอาจจะลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้นได้ถึง 90% ส่วนอีก 10% ที่เหลือเก็บไว้ในรูปของเงินฝากและตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น
- อายุ 31-40 ปี เป็นวัยที่การงานเริ่มมั่นคง รายได้เพิ่มสูงขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมาเป็นทวีคูณเพราะอยู่ในช่วงที่กำลังสร้างครอบครัว แต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ เมื่อมีภาระผูกพันที่ต้องรับผิดชอบมาก และต่อเนื่อง ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็ลดน้อยลง การลงทุนของคนในวัยนี้จึงอาจจะต้องลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นลงจาก 90% ให้เหลือเพียง 50% ของเงินออม แล้วไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ให้มากขึ้นในจำนวนที่เท่าๆ กัน
- อายุ 41-55 ปี เป็นวัยที่มีหน้าที่การงานมั่นคง มีรายได้สูง แต่ก็มีรายจ่ายที่สูงไม่แพ้กัน การลงทุนของคนในวัยนี้ควรเลือกลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ เริ่มเน้นความปลอดภัยของเงินต้นเป็นหลัก เพื่อจะได้เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้ในยามชรา แต่อย่างไรก็ดี ไม่ควรละเลยการลงทุนในตราสารทุนไปซะเลยทีเดียว เพียงแต่ต้องลดสัดส่วนลงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มพูนผลตอบแทนให้งอกเงยนอกเหนือจากดอกเบี้ยและเงินปันผลนั่นเอง สัดส่วนที่เหมาะสมในการลงทุนของคนในวัยนี้ คือ 70% ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ อีก 30% ลงทุนในตราสารทุน โดยอาจแบ่งการลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีด้วยก็ดี เนื่องจากคนในวัยนี้ต้องแบกรับภาระภาษีค่อนข้างสูงอันเนื่องมาจากมีรายได้ที่สูงนั่นเอง
- อายุ 55 ปีขึ้นไป เป็นวัยเกษียณที่แทบจะไม่มีรายได้แล้วสำหรับบางคน แต่ยังคงจับจ่ายใช้สอยอยู่เช่นเดิมแม้ค่าใช้จ่ายบางอย่างในชีวิตประจำวันจะเริ่มลดน้อยลง แต่กลับต้องสำรองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้นตามวัยและสุขภาพ ดังนั้น เงินออมเกือบทั้งหมดในชีวิตควรอยู่ในรูปของเงินฝากและตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า หากพิจารณาการลงทุนจากข้อจำกัด หรือปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยทั่วๆ ไป ดังที่กล่าวมาในข้างต้นก็ไม่ผิดไปจากที่คุณผู้ถามได้ยินได้ฟังมา นั่นคือ คนหนุ่มสาวที่อายุยังน้อยสามารถจะลงทุนในตราสารทุนที่มีความเสี่ยงได้เป็นสัดส่วนที่สูง ส่วนคนที่มีอายุมากแล้ว การลงทุนควรจะจัดสรรไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำจะดีกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทุนจะปฏิบัติแตกต่างไปจากนี้ไม่ได้ เพราะถ้าหนุ่มสาวท่านใดไม่ชื่นชอบความเสี่ยง การที่เขาจะไปลงทุนในหุ้นเป็นส่วนมากก็จะไม่สอดคล้องกับลักษณะและอุปนิสัยของตน ส่วนผู้ลงทุนท่านใดที่แม้จะสูงวัย แต่มีทรัพย์สินสะสมไว้มากเพียงพอแล้วจะใจกล้าสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากนำเงินไปลงทุนในหุ้นก็คงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด
ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจเลือกลงทุน อย่าลืมสำรวจความพร้อมของตัวเองให้ครบทุกๆ ด้านนะคะ แล้วนำมาประมวลผลดูว่าเงินออมที่มีอยู่นั้นควรนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ใดในสัดส่วนและจำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่งอกเงย และไม่ผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายที่วางเอาไว้ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากสมาคม บลจ.