xs
xsm
sm
md
lg

ต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทยเพิ่ม 95% รร.ในกรุงเทพฯ-ภูเก็ตฮอตสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วิวทิวทัศน์ที่สวยงามทำให้นักลงทุนต้องการซื้อกิจการโรงแรมในภูเก็ต เพราะเชื่อว่าจะสร้างรายได้และผลกำไรในอนาคต
โจนส์ แลง ลาซาลล์ เผยอสังหาฯเอเชียคึกคัก ครึ่งปีต่างชาติแห่ซื้อ 59,700 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21% โดยเฉพาะตลาดใหญ่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน ขณะที่ไทยมูลค่าซื้อเพิ่ม 95% ชี้โรงแรมในกรุงเทพ-ภูเก็ตต้องการซื้อมากที่สุด

ดร. มีแกน วอลเตอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย หน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การลงทุนซื้อขายอาคาร/โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ได้แก่ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม ในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 59,700 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 21% โดยในไตรมาสสองของปีนี้ มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายรวม 32,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสหนึ่ง 21% เช่นกัน

ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค มีปัจจัยหลักมาจากปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นอย่างคึกคักในตลาดใหญ่ๆ ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีน ในขณะที่ตลาดการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่นๆ มีปริมาณแตกต่างกันไป โดยบางประเทศ เช่น ฮ่องกงมีปริมาณลดลงอันเป็นผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อลดความร้อนแรงในตลาดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี กิจกรรมการลงทุนในเอเชียแปซิฟิกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีภาพโดยรวมที่ดี และมีแนวโน้มจะดีต่อไปอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

ดร. มีแกน วอลเตอร์ส กล่าวต่อว่า มีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดการลงทุนซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ อาทิ นักลงทุนจากทั่วโลกยังคงสนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ชั้นดีที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ขณะเดียวกัน เริ่มมีแนวโน้มให้เห็นว่า มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นที่สนใจหาซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาไม่สูงและมีโอกาสที่มูลค่าจะปรับสูงขึ้นได้ในระยะต่อไป นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐฯ ยังคงมีผลต่อกระแสการลงทุนทั้งในเชิงบวกและลบ ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ที่มีออกมา ในขณะที่บางประเทศต้องการกระตุ้นตลาด รัฐบาลของบางประเทศ

ด้านนายสจ๊วต โครว์ ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจบริการด้านการลงทุนภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของโจนส์ แลง ลาซาลล์ กล่าวว่า นักลงทุนรายใหญ่จากสหรัฐฯ แคนาดา และตะวันออกกลางเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เอเชียแปซิฟิก ในขณะที่นักลงทุนเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหรือบุคคลที่มีฐานะ ยังคงสนใจลงทุนอย่างคึกคัก ทำให้เกิดความต้องการสูงสำหรับการลงทุนซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ซึ่งยังมีรายการซื้อขายที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนมาก และทำให้เรายังคงเชื่อว่า การลงทุนซื้อขายในเอเชียแปซิฟิกสำหรับตลอดปีนี้ จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นราว 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่มีการลงทุนซื้อขายมูลค่าสูงสุด คือ 1.2 แสนล้านดอลลาร์

หากพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่า ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายอาคาร/โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศที่เป็นตลาดการลงทุนใหญ่ๆ ที่กล่าวถึงก่อนหน้า แต่การลงทุนซื้อขายในครึ่งแรกของปีนี้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายโรงแรม สะท้อนให้เห็นถึงการมีโรงแรมเสนอขายในตลาดมากขึ้น และนักลงทุนให้ความสนใจซื้อสูงในตลาดโรงแรมหลักๆ ของไทย โดยเฉพาะภูเก็ตและกรุงเทพฯ

ส่วนญี่ปุ่น ระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับเพิ่มสูงขึ้นตามการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีทางเศรษฐกิจมหภาคอันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้การลงทุนซื้อขายโครงการหรืออาคารในญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมสูงถึง 20,800 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 50% โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ออสเตรเลีย นักลงทุนประเภทสถาบันทั้งของออสเตรเลียและจากต่างชาติ รวมทั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ มีความต้องการลงทุนซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีมูลค่ารวม 10,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว

จีน กิจกรรมการลงทุนในจีนกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมากในไตรมาสสอง หลังจากที่ชะลอตัวในไตรมาสหนึ่ง โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 65% จากไตรมาสหนึ่ง ส่วนมูลค่าการซื้อขายรวมสำหรับครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 9.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มสูงขึ้น 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจในครึ่งแรกของปีนี้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว โดยไตรมาสสองมีปริมาณการลงทุนซื้อขายรวมมูลค่า 2,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสหนึ่ง แม้นักลงทุนจะยังคงให้ความสนใจสูงสำหรับการลงทุนในตลาดสิงคโปร์ แต่พบว่า ยังมีความไม่สอดคล้องกันอยู่บ้างระหว่างราคาเสนอขายและราคาที่นักลงทุนรับได้ อย่างไรก็ดี มีรายการลงทุนซื้อขายรายการใหญ่ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจาขณะนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้มูลค่าการลงทุนซื้อขายในสิงคโปร์ยังคงขยายตัวในช่วงครึ่งหลังของปี

ฮ่องกง มาตรการของรัฐบาลเพื่อลดความร้อนแรงในตลาดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการเพิ่มค่าอากรขึ้นเป็นเท่าตัวสำหรับการทำธุรกรรมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีการใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ได้เริ่มมีผลกระทบต่อปริมาณการซื้อขาย โดยส่งผลให้มูลค่าการลงทุนซื้อขายในไตรมาสสองลดลง 53% จากไตรมาสหนึ่ง และลดลง 49% เมื่อเทียบกับไตรมาสสองของปีที่แล้ว

เกาหลีใต้ มีการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ๆ เกิดขึ้นไม่มาก ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ดี มูลค่าการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2555 แต่ลดต่ำลงถึง 48% เมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปี

อินโดนีเซีย ได้รับความสนใจสูงจากนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและมีแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งเอื้อต่อการลงทุน อย่างไรก็ดี พบว่า การเข้าไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอินโดนีเซียเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากต้องแข่งขันกับนักลงทุนของอินโดนีเซียเอง ในขณะที่อาคาร/โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีเสนอมีจำนวนน้อย ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นยังคงเป็นการซื้อโดย
กำลังโหลดความคิดเห็น