หุ้นไทยปิดลบ 5.35 จุด อยู่ที่ระดับ 1,481.84 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 49,138.56 ล้านบาท จากแรงเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์ และธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดเป้าเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีลงจาก 5.1% เหลือเพียง 4.2% ขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่คาดสัปดาห์หน้าหลังวันหยุดยาวดัชนีแกว่งตัวไซด์เวย์
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (19 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 1,481.84 จุด ปรับตัวลดลง -5.35 จุด หรือ 0.36% มูลค่าการซื้อขาย 49,138.56 ล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,489.66 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,475.59 จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 313 หลักทรัพย์ ลดลง 358 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 144 หลักทรัพย์
การซื้อขายสุทธิแยกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,349.03 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 1,147.18 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 584.45 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 3,080.66 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
INTUCH ปิดที่ 89.00 บาท ลดลง -0.25 บาท หรือ 0.28% มูลค่าการซื้อขาย 2,875,856 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 8.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,667,544 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 185.50 บาท ลดลง -4.50 บาท หรือ -2.37% มูลค่าการซื้อขาย 2,157,430 ล้านบาท
ADVANC ปิดที่ 299.00 บาท เพิ่มขึ้น +4.00 บาท หรือ +1.36% มูลค่าการซื้อขาย 1,898,171 ล้านบาท
KTB ปิดที่ 19.30 บาท ลดลง -0.40 บาท หรือ -2.03% มูลค่าการซื้อขาย 1,527,191 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงอยู่ในแนวลบตลอดทั้งวัน อันเนื่องมาจากกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ได้ปรับเป้าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ของประเทศไทยลง จากอัตราเดิมที่ตั้งไว้ที่ระดับ 5.1% ปรับประมาณการลดลงเหลือเพียง 4.2% ซึ่งปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ไม่น่าจะต่ำกว่า 4.5% สืบเนื่องจากการบริโภคในประเทศที่ลดลง ตลอดจนหนี้สาธารณะ และราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้เกิดแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารจะอัตราอ้างอิงกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในแดนลบตลอดเกือบทั้งวัน และตลาดยังคงผันผวนอยู่ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการถือหุ้นข้ามสัปดาห์ที่มีวันหยุดยาว จึงเทขายทำกำไรออกมาก่อน
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนอาจจะต้องจับตาตลาดหุ้นจีนที่จะประกาศดัชนี PMI ของอุตสาหกรรมการผลิตของจีนในเดือนกรกฎาคม และตัวเลขดัชนี PMI ของยุโรป ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยด้วย แต่โดยรวมคาดว่าไม่น่าจะมีปัจจัยอื่นเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าอาจปรับตัวขึ้นได้บ้าง แต่จะเป็นไปในลักษณะผันผวน แกว่งตัวขึ้นลงจากกระแสข่าวต่างๆ ที่มีเข้ามา
อย่างไรก็ดี แนวรับที่สำคัญในสัปดาห์หน้าคือ 1,460-1,470 และแนวต้าน 1,500-1,510 จุด เป็นกรอบแนะนำในการลงทุน โดยหุ้นกลุ่มที่ยังคงทำกำไรได้ดีอยู่ ได้แก่ หุ้นที่มีราคาถูก ได้แก่ หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 และจะมีจ่ายปันผลระหว่างกาล หรือชนิดรายตัว เช่น ASP, AMATA, HEMRAJ กลุ่มสื่อสาร เช่น SAMTEL และกลุ่มขนส่ง AOT ตลอดจนถึงหุ้นกลุ่มโรงแรมที่จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย