บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกไก่สด และไข่ไก่รายใหญ่ กำลังเผชิญปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างหนัก โดยมีข่าวการค้างจ่ายค่าแรง การค้างจ่ายค่าวัตถุดิบเลี้ยงสัตว์ และกระแสข่าวการปิดตัวโรงเลี้ยงไก่หลายแห่ง ทั้งในจังหวัดเพชรบูรณ์ และลพบุรี โดยมีผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจโลก การส่งออกที่หดตัว และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งด้านวัตถุดิบการผลิต และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล
นายปัญญา โชติเทวัญ ประธานสหฟาร์ม ยอมรับว่า บริษัทกำลังเร่งแก้ปัญหาวิกฤตสภาพคล่อง โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารกรุงไทย เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ แต่ยังไม่สามารถบอกจำนวนมูลค่าหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งอาจมีการพิจารณาขายสินทรัพย์บางส่วน และการเจาะตลาดใหม่กับผู้นำเข้าในตะวันออกกลาง โดยคาดว่าภายใน 2 เดือน ธุรกิจจะกลับมาสู่ภาวะปกติ
รายงานข่าวระบุว่า สหฟาร์ม กำลังเร่งเจรจาปรับโครงสร้างทางการเงินกับธนาคารหลายแห่ง โดยพบว่ามี 3 แห่งในขณะนี้ ซึ่งธนาคารกรุงไทย ที่ถือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และยังมีธนาคารอิสลาม และธนาคารธนชาตด้วย
ทั้งนี้ สหฟาร์ม ถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาคแน่นอน เนื่องจากมีคนหลากหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย โดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อย หรือลูกเล้าที่ทำสัญญากับบริษัท และมีการลงทุนไปแล้ว
สิ่งสำคัญก็คือ การเกิดปัญหาติดค้างหนี้สินจนทุนหายกำไรหดของผู้ค้ารายย่อย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้น่าเป็นห่วงกว่ากลุ่มแรงงงานในระบบ ซึ่งได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอยู่แล้ว ทางราชการจึงควรเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะอาจลุกลาม และส่งผลไปถึงสถาบันการเงิน
โดยก่อนหน้านี้ พบว่ามีสัญญาณบ่งชี้การขาดสภาพคล่อง เนื่องจากทางกลุ่มพ่อค้าพืชไร่ หยุดป้อนข้าวโพดซึ่งเป็นวัตถุดิบให้แก่บริษัท ซึ่งทราบมาว่า เกิดจากบริษัทมีปัญหาภาวะหนี้สินเช่นเดียวกัน โดยมูลหนี้ที่เป็นตัวเลขหลักพันล้านบาท พร้อมเสนอให้กรมสืบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ค้าในตลาดสดยังได้แสดงความกังวลว่า หากปัญหาของสหฟาร์ม ลุกลามปิดตัวโรงเลี้ยงเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้ราคาไข่ไก่ และไก่สดปรับราคาสูงขึ้นไปอีก ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบหาแผนรองรับสถานการณ์เอาไว้ด้วย
