“ทิสโก้” คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค.แกว่งตัวรุนแรง จากปัญหาราคาข้าวย้อนกลับมา และเฟดลดวงเงิน QE แนะนักลงทุนถือเงินสดเพิ่มเพื่อกระจายความเสี่ยง
นายวิวัฒน์ เตชะพูนผล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฏาคม คาดว่าจะมีการแกว่งตัวผันผวนขึ้นลงในกรอบแคบๆ โดยแนวรับที่ 1,400 และแนวต้านที่ 1,500 จุด จากหลายปัจจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุน โดยถือเงินสดเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากคาดการณ์ว่าตลาดอาจจะมีการปรับฐานอีกครั้งหนึ่งในช่วงระหว่างเดือนเดือนสิงหาคม-กันยายน โดยเฉพาะในช่วงเดือน กันยายน ที่นักลงทุนยังต้องติดตามทั้งในเรื่องของปัจจัยทางการเมือง และสภาพคล่องในตลาดโลก
ขณะเดียวกัน ประเด็นสำคัญภายในประเทศคือ ในวันที่ 15 ก.ย. เป็นวันสิ้นสุดการรับจำนำข้าวในราคาประกันที่ 15,000 บาท/ตัน และปรับลดราคาลงมาเหลือ 12,000 บาท/ตัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการชุมนุมประท้วงจากชาวนาเรียกร้องรัฐบาลให้กลับมารับประกันราคาจำนำข้าวในราคาเดิม ส่งผลทำให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรงมากขึ้นอีก ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบด้านต่างประเทศในวัน 18 กันยายน จะมีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่คาดว่าจะมีปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE จาก 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ลงเหลือเพียง 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ตลอดจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในเยอรมนี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 กันยายน
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน อาจประเมินแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุดซึ่งจะเป็นลักษณะปรับฐานจากจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,338 ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากปรับตัวต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม อาจจะมีแนวรับใหม่ที่ระดับ 1,300 จุด ทั้งนี้ ทิสโก้มองว่าตลาดมีความเสี่ยงในช่วงขาลงจากราคาที่ดัชนีต่ำกว่า 1,360 จุด แต่อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คิดเป็น P/E ที่ 13เท่า และอัตรากำไรต่อหุ้นในอนาคต (Forward P/E) ที่ 11.2 เท่า อาจทำให้อัตราผลตอบแทนที่ 3.8% โดยแนะนำกลุ่มหุ้นที่ยังเป็นกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดีอย่างเช่น กลุ่มธนาคาร เช่น SCB และ KBANK และกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่ม ปตท. และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น LPN และ SIRI และหุ้นที่มีแนวโน้มปันผลดีเช่นกลุ่มสื่อสาร ADVANC และ AOT
อย่างไรก็ตาม ทิสโก้ได้มีการปรับเป้าหมายดัชนี SET Index ลงมาที่ 1,550 จุด จาก 1,650 จุด หลังจากสภาพคล่องในตลาดที่หดตัวลงจากเม็ดเงินของต่างชาติที่ไหลออก จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการดึงเม็ดเงินกลับมาลงทุนในตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก ประกอบกับการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดลงของการอัดฉีดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) สหรัฐฯ ลง ทางด้านเศรษฐกิจจีนที่เริ่มมีการชะลอตัวลงทั้งในส่วนภาคการส่งออก และปัญหาการขาดสภาพคล่องในระบบ