จับตาเฟิร์สเทรด “นกแอร์ (26.00 บาท)” ราคาเริ่มต้นเท่าบริษัทแม่ “การบินไทย (26.00 บาท)” โบรกฯ ชูอัตราการเติบโตของผลดำเนินงานโดดเด่น ทั้งส่วนแบ่งการตลาด รายได้ และกำไร แต่บางส่วนหวั่นภาวะตลาดผันผวนฉุดต่ำจอง อีกทั้งราคาสูง
รายงานข่าวแจ้งว่า วันพรุ่งนี้ (20 มิ.ย.) บริษัท นกแอร์ จำกัด (มหาชน) (NOK) จะเข้าซื้อขายบนกระดานหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก หลังจากเปิดจองซื้อหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 26 บาท พาร์ 1 บาท เมื่อวันที่ 12-14 มิ.ย.ที่ผ่าน พบว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม เหตุ P/E 11.5 เท่า ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ P/E ของอุตสาหกรรม และคู่แข่ง
ทั้งนี้ นกแอร์สามารถระดมทุนได้เต็มทั้งจำนวนในส่วนของบริษัท 3,250 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมที่ร่วมเสนอขายอีกจำนวน 1,625 ล้านบาท รวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 4,875 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม พบว่านักลงทุนบางรายประเมินว่าราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับที่สูง และกังวลว่าการซื้อขายวันแรกของหุ้น NOK อาจปรับตัวได้ไม่มาก หรืออาจปรับตัวลดลงจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน โดยเฉพาะจากความกังวลต่อมาตรการ QE3 ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ ฯ(เฟด) จะมีความชัดเจนออกมาภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่การซื้อขายจะเริ่มขึ้น
บล.ฟินันเซียไซรัส จัดทำบทวิเคราะห์หุ้น NOK ว่า นกแอร์ผู้บริการสายการบิน Low-Cost Airline ภายในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำเป็นอันดับ 2 ประมาณ 41% แต่มีการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารเป็นอันดับ 1 ด้วยอัตราการโตเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 36.5% และกำไรสุทธิในปี 2555 อยู่ที่ 505 ล้านบาท
ภาพรวมคาดการณ์ธุรกิจสายการบินทุนต่ำในประเทศมีโอกาสโตต่อเนื่องระยะยาว ทั้งจากความได้เปรียบของภูมิศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างประเทศ อีกทั้งการเติบโตทางด้านธุรกิจของประเทศในภูมิคภาคมีมากขึ้นทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น และการเปิดสนามบินดอนเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลบวกให้นกแอร์สามารถขยายเส้นทางการบิน และรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
โดย NOK มีแผนจะเพิ่มฝูงบินจากสิ้นปี 2012 ที่ 14 ลำ เป็น 16 ลำ ในสิ้นปีนี้ และ 23 ลำ ในสิ้นปี 2557 รวมถึงขยายจุดบิน และเพิ่มความถี่สำหรับสายการบินในประเทศ อีกทั้งจะขยายเส้นทางบินไปยังต่างประเทศ เริ่มต้นที่พม่า พร้อมด้วยการเปลี่ยนเครื่องบินไปเป็น 737-400 ซึ่งดีกว่ารุ่นเดิมทั้งในแง่ประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน จำนวนที่นั่งมากกว่า อัตราการใช้เครื่องบินที่สูงกว่า และอายุเฉลี่ยของฝูงบินที่ลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ทำให้คาดการณ์กำไรในปีนี้แตะ 1,385 ล้านบาท เพิ่มเป็น 174.3% และผลดำเนินงานปี2 557คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,784 ล้านบาท
“นักวิเคราะห์ใช้วิธี PER 20 เท่า ซึ่งสูงกว่าเป็นค่าเฉลี่ยของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำในภูมิภาคที่ 16 เท่า แต่ใกล้เคียงกับ AAV เนื่องจากคาดว่าการเติบโตของกำไรมีทิศทางที่โดดเด่น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก”
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า สายการบินนกแอร์มีความแตกต่างกับสายการบินต้นทุนต่ำทั่วไปหลายด้าน เช่น การมุ่งเน้นเส้นทางบินในต่างจังหวัด (มีคู่แข่งน้อย) ที่ไม่ได้อิงกับเส้นทางบินท่องเที่ยว ทำให้ความผันผวนของ Cabin factor ในไตรมาส 2-3 จะไม่รุนแรงเท่าคู่แข่งขันที่อิงกับภาคท่องเที่ยว และทำให้โอกาสที่คู่แข่งจะเข้ามาเจาะตลาดทำได้ยาก
โดยคาดว่า NOK จะมีกำไรในปี 2556 ที่ 1.4 พันล้านบาท (ใน 1Q56 มีกำไรสุทธิ 415 ล้านบาท จากเพียง 9 ล้านบาท ใน 1Q55) เติบโต 188% จึงให้ราคาเหมาะสมที่ 43.00 บาท/หุ้น อิง PER 18.4 เท่า จากอัตราการเติบโตที่สูง และการมีจุดเด่นด้านการทำกำไร รวมถึงธุรกิจการบินในประเทศที่มุ่งเน้นต่างจังหวัดซึ่งยากที่จะถูกคู่แข่งเจาะเข้ามาได้ แนะนำ “ซื้อ”
ทั้งนี้ NOK มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ บริษัทการบินไทย ถือหุ้น 39.2% บริษัท Aviation Investment International จำกัด ถือหุ้น 10% และบริษัททุนลดาวัลย์ จำกัด ถือหุ้น 4.8% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และเงินสำรองตามกฎหมาย
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการบินไทย (THAI) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ NOK ที่จะได้รับอานิสงส์จากการขายหุ้นไอพีโอของนกแอร์ด้วย ณ วันนี้ (19 มิ.ย.) มีราคาหุ้นอยู่ที่ 26.00 บาท (พาร์ 10.00 บาท) ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.80% ซึ่งเป็นราคาเดียวกับราคาไอพีโอของ NOK ทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองว่า ในการซื้อขายวันแรกของหุ้น NOK จะปรับตัวสูงขึ้นเหนือหุ้นของบริษัทแม่อย่างTHAI ได้มากน้อยเพียงใด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้ง 2 หลักทรัพย์