"พาที”ตั้งเป้า นกแอร์ผงาด อันดับ 1 ในประเทศ ประเมิน 3 ปี รายได้และผู้โดยสารโต 20% ต่อปี วางแผนเจาะตลาดพม่าโอกาสเติบโตสูง เริ่มบิน ก.ย.นี้ แม่สอด-เมาะลำไย มั่นใจ 10 ปีข้างหน้าตลาดเอเชียสดใสอุตฯการบินสุดบูม เผยปัจจัยเสี่ยง ราคาน้ำมันและการเมืองในประเทศรุนแรง พร้อม จี้โบอิ้งแจงเหตุล้อหน้าหลุดที่เชียงราย
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจการบินในปี 2556 จะดีกว่าปี 2555 โดยคาดว่าผู้โดยสารและรายได้จะเติบโตประมาณ 40% ซึ่งจะเห็นได้จากผลประกอบการไตรมาส1/2556 ที่มีรายได้ 2,811 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 425 ล้านบาท เกือบจะเท่ากับกำไรทั้งปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 504 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีผู้โดยสารอยู่ที่ 4 ล้านคนต่อปี ส่วน 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจำนวนผู้โดยสารและรายได้จะเติบโตประมาณ 20% ต่อปี โดยนกแอร์มีเป้าหมายเป็นสายการบินภายในประเทศอันดับ 1 ซึ่งปัจจุบันคนไทยกว่า 30 ล้านคนจาก 65 ล้านคนโดยสารเครื่องบิน ดังนั้นตลาดจึงยังมีโอกาสเติบโตสูง โดยเฉพาะเมืองรอง เช่น น่าน แพร่ ร้อยเอ็ด ชุมพร ระนอง จะเป็นจุดบินสำคัญของนกแอร์
ส่วนต่างประเทศนั้นจะเปิดเส้นทาง แม่สอด-เมาะลำไย ประเทศพม่า ในเดือนกันยายน วันละ 1 เที่ยวบิน โดยใช้ นกมินิ ขนาด 34 ที่นั่ง ซึ่งภายในปีนี้จะจัดหาเครื่องบิน ATR ขนาด 66 ที่นั่งเพิ่ม 2 ลำ โดยวิธี Operating Lease ซึ่งแม้ว่าราคาจะสูงกว่าซื้อประมาณ 5% แต่มีจุดบินที่ชัดเจน เชื่อว่าจะทำให้มีกำไรแน่นอน อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการบิน 3-10 ปีข้างหน้าตลาดในเอเชียจะมีการเติบโตมากที่สุด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีกว่าทางยุโรปและอเมริกา
“เป้าหมายของนกแอร์คือเป็นที่หนึ่งภายในประเทศ เมื่อในประเทศมั่นใจจะส่งผลดีต่อการเปิดเส้นทางไปต่างประเทศ โดยพม่าจะเป็นประเทศแรก โดยในช่วง 2-3 ปีนี้ จะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไปมาก แต่การบินของพม่ายังมีข้อจำกัด ซึ่งนกแอร์จะใช้แม่สอดเป็นศูนย์กลาง”นายพาทีกล่าว
นายวิทัย รัตนากร ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน (CFO) สายการบินนกแอร์กล่าวว่า หลังขายหุ้น IPO สัดส่วนหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จาก 49 % จะเหลือ 39.2% ซึ่งจะไม่กระทบต่อจำนวนกรรมการ (บอร์ด) ซึ่งมีทั้งสิ้น 12 คน โดยเป็นตัวแทนจากการบินไทย 4 คน ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ขึ้นกับการบินไทย ทั้งนี้ตามแผนจะจัดหาซื้อเครื่องบิน ATR เพิ่ม3 ลำ กำหนดรับมอบปี 2557 และปี 2558 ซื้ออีก 3 ลำ ราคาลำละประมาณ 18-19 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีฝูงบิน ATR รวมทั้งหมด 8 ลำ (ปัจจุบันมี 2 ลำ)
สำหรับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมการบินหลักๆ คือ ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 125 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) ประมาณ 30-35% และความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งประเมินว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อย ในขณะที่ช่องทางการขายตั๋วของนกแอร์ผ่านอินเตอร์เน็ต 55-60% ผ่านเอเย่นต์ 10% ผ่าน call Center 10 % และเคาน์เตอร์ 10% โดยขายล่วงหน้าเพียง 1 เดือน ทำให้สามารถปรับราคาให้เหมาะสม โดยรายได้จากเส้นทางประเทศประมาณ 80%
***จี้โบอิ้งแจงเหตุล้อหน้าหลุดที่เชียงราย
สำหรับเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของสายการบินนกแอร์ล้อหน้าหลุดขณะนักบินกำลังนำเครื่องเข้าจอดที่สะพานเทียบเครื่องบินเพื่อส่งผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น นายพาทีกล่าวว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุที่ร้ายแรงเพราะเครื่องได้ร้อนลงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้ทางโบอิ้งกำลังตรวจสอบหาสาเหตุ และต้องชี้แจงว่าเกิดจากอะไร โดยยืนยันว่าหัวใจของธุรกิจการบินคือ ความปลอดภัย ดังนั้นนกแอร์จึงจ้างลุฟท์ฮันซ่าซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเป็นผู้ดูแล