ดัชนีการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยแม้ร่วงแรงต่อเนื่อง แต่ภาพรวมยังคงดีอยู่ คาดนักลงทุนเทขายจากความคลุมเครือในมาตรการ QE และญี่ปุ่นอาจยกเลิกการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ นักลงทุนเชื่อเสถียรภาพเศรษฐกิจจะดึงนักลงทุนกลับมาโดยเร็ว
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ดัชนีการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ร่วงลงอย่างรุนแรงในวันนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ดัชนีหุ้นไทยเริ่มมีนักลงทุนต่างประเทศเทขายจำนวนมากตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยภายในระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีแรงเทขายหุ้นของตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในประเทศกลุ่ม TIP (Thailand Indonesia Philippines) ที่มีนักลงทุนขายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย และ ฟิลิปปินส์ เรียงตามลำดับ
ทั้งนี้วอลุ่ม เทรด ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม เป็นต้นมา จากระดับการซื้อขายดัชนี SET INDEX สูงสุดที่ 1,640 จุด มูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยที่แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมี 2 ประการคือ มาจากการที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง แต่จากสถานการณ์เงินทุนไหลออกที่ผ่านมานั้น มาจากการที่มาตรการ QE นั้นยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะดำเนินการต่อ หรือชะลอมาตรการนี้ไว้ก่อน โดยสังเกตได้จากการที่นักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเริ่มขาย ETF ออกไป ซึ่งมาจากความวิตกกังวลว่าความน่าเชื่อถือในปัจจัยพื้นฐานนั้น ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือมีเสถียรภาพอยู่หรือไม่ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น มองโดยภาพรวมแล้วปัจจัยพื้นฐานยังคงรองรับได้อยู่
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มโอกาสที่จะฟื้นตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีความมั่นคงทางการเมืองที่สูง ทั้งนี้ตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกจะได้ประโยชน์ในช่วงการเก็งกำไรระยะสั้น แม้ว่าจะมีเม็ดเงินไหลออก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจะไม่กระทบต่อภาพรวมเท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะท้อนต่อภาวะความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากกรณีที่ประเทศญี่ปุ่น อาจจะยกเลิกไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม อาจทำให้ภาพรวมการลงทุนในระยะสั้นชะงักไป โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นมากขึ้น จนเกิด oversold ขึ้น ซึ่งเมื่อถึงจุดสมดุลที่ตลาดหุ้นลงเต็มที่แล้ว ก็จะเริ่มทยอยฟื้นตัว และเงินลงทุนก็จะใหลเข้าตามวัฏจักรการลงทุนเช่นเดิม โดยรวมแล้วตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงดีอยู่ หากเปรียบเทียบสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งยังมีนักลงทุนทั่วไป และบริษัทหลักทรัพย์ยังคงซื้อหุ้นในปริมาณที่มากอยู่ และคาดว่า จะเป็นแรงซื้อช่วยพยุงให้หุ้นไทยลดลงในระดับที่ไม่น่าเกิน 5 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ค่าประเมิน P/E ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12.45 เท่า โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน