ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 1.3 พันล้าน ดึงหุ้นไทยฟื้นจากวิกฤต หลังร่วงลงกว่า80 จุด มาปิดที่ 1,403.08 จุด ลดลง 30.39 จุด วอลุ่มเทรด 8.5 หมื่นล้านบาท ภาพรวมยังกังวลQE บัญชีมาร์จิ้นแห่ขายหวั่นโดนฟอลเซล “จรัมพร”ย้ำตลาดหุ้นไทย ปัจจัยพื้นฐานดี กองทุนเข้าซื้อช่วยพยุงดัชนี โบรกฯแนะนำทยอยเข้าเก็บหุ้นดีราคาถูก มีโอกาสรีบาวด์ต่อ
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย(13 มิ.ย)ผันผวนหนัก โดยการซื้อขายช่วงเช้าดัชนีลดลงต่ำสุด1,351.95 จุด หรือ-81.52จุด ต่อมามีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในช่วงการซื้อขายรอบบ่ายเป็นผลให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาปิดที่ 1,403.08 จุด ลดลง30.39จุด มูลค่าการซื้อขาย 85,402.21 ล้านบาท
สาเหตุที่ ดัชนีปรับตัวลดลงในช่วงเช้าอย่างรุนแรง เป็นผลมาจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ ผสมกับการบังคับขาย (ฟอสเซล) นักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น) จนกระทบนักลงทุนกกลุ่มอื่นเกิดความตื่นตระหนกและเทขายออกมาด้วยหลังจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดิ่งกว่า 800 จุด ตลาดหุ้นฮ่องกง ร่วงกว่า 500 จุด ตอบรับดัชนีตลาดุห้นดาวโจนส์เมื่อคืนที่ร่วงลงกว่า 126 จุด นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลงแรง มาจากกรณีญี่ปุ่น อาจจะยกเลิกไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังผลจากการใช้มาตรการในช่วงก่อนนี้ ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศดูดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,394.49 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,920.01 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ 737.06 ล้านบาทและสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 211.51ล้านบาท
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการสายงายวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อจากปัจจัยเรื่องเดิม อีกทั้งที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับสูงขึ้นสืบเนื่องจากการกู้ยืมเงินต้นทุนต่ำมาลงทุน ดังนั้นเมื่อเริ่มไม่มีกำไร จึงมีการปิดสถานะทำให้เกิดการขายหุ้นลงมา ทั้งนี้ นักลงทุนควรรอดูสถานการณ์ให้ฟื้นจริงค่อยเข้าไปลงทุน ควรปรับพอร์ตเพื่อถือเงินสดและให้รอดูภาวะตลาดให้นิ่งก่อนจะซื้อเมื่อมีแนวโน้มปรับขึ้นชัดเจน ส่วนแรงขายต่างชาติจะหยุดขายถึงเมื่อใดยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ แต่เชื่อว่า downside น่าจะเริ่มจำกัดอยู่ที่ 1,350 จุดเป็นแนวรับสำคัญ
ทั้งนี้ นักวิเคราห์เชื่อว่า การลงทุนวันนี้ (14 มิ.ย.) ประเมินว่าดัชนีมีโอกาสที่จะฟื้นตัว โดยประเมินกรอบแนวรับ 1,400 จุด และแนวต้านที่ 1,380 จุด เนื่องจากประเมินว่าโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นไทยมีไม่มากแล้ว กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ทยอยซื้อหุ้น
*** “จรัมพร”ย้ำปัจจัยพื้นฐานไทยยังดี -กองทุนช่วยพยุง
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ดัชนีการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ร่วงลงอย่างรุนแรง ว่านักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยมาตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยภายในระยะเวลา 2-3 อาทิตย์มีแรงเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในประเทศกลุ่ม TIP (Thailand Indonesia Philippines) ที่มีนักลงทุนขายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย และ ฟิลิปปินส์ เรียงตามลำดับ
“ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม เป็นต้นมา จากSET INDEX สูงสุดที่ 1,640 จุด มูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แรงขับเคลื่อนที่มาจากการที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง แต่จากสถานการณ์เงินทุนไหลออกจากการที่มาตรการ QE ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้สังเกตได้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเริ่มขาย ETF ออกไป ซึ่งมาจากความวิตกกังวล แต่ในปัจจัยพื้นฐานนั้น ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยภาพรวมแล้วปัจจัยพื้นฐานยังคงรองรับได้อยู่”
โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มโอกาสที่จะฟื้นตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีความมั่นคงทางการเมืองที่สูง ส่วนตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกจะได้ประโยชน์ในช่วงการเก็งกำไรระยะสั้น แม้ว่าจะมีเม็ดเงินไหลออก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจะไม่กระทบต่อภาพรวมเท่าไหร่นัก
“โดยรวมแล้วตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงดีอยู่ หากเปรียบเทียบสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งยังมีนักลงทุนทั่วไป และบริษัทหลักทรัพย์ยังคงซื้อหุ้นในปริมาณที่มากอยู่ และคาดว่า จะเป็นแรงซื้อช่วยพยุงให้หุ้นไทยลดลงในระดับที่ไม่น่าเกิน 5 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ค่าประเมิน P/E ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12.45 เท่า โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน”
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย(13 มิ.ย)ผันผวนหนัก โดยการซื้อขายช่วงเช้าดัชนีลดลงต่ำสุด1,351.95 จุด หรือ-81.52จุด ต่อมามีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในช่วงการซื้อขายรอบบ่ายเป็นผลให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาปิดที่ 1,403.08 จุด ลดลง30.39จุด มูลค่าการซื้อขาย 85,402.21 ล้านบาท
สาเหตุที่ ดัชนีปรับตัวลดลงในช่วงเช้าอย่างรุนแรง เป็นผลมาจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ ผสมกับการบังคับขาย (ฟอสเซล) นักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชีกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น) จนกระทบนักลงทุนกกลุ่มอื่นเกิดความตื่นตระหนกและเทขายออกมาด้วยหลังจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดิ่งกว่า 800 จุด ตลาดหุ้นฮ่องกง ร่วงกว่า 500 จุด ตอบรับดัชนีตลาดุห้นดาวโจนส์เมื่อคืนที่ร่วงลงกว่า 126 จุด นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ดัชนีปรับตัวลงแรง มาจากกรณีญี่ปุ่น อาจจะยกเลิกไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังผลจากการใช้มาตรการในช่วงก่อนนี้ ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศดูดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,394.49 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,920.01 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ 737.06 ล้านบาทและสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 211.51ล้านบาท
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการสายงายวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลงต่อจากปัจจัยเรื่องเดิม อีกทั้งที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับสูงขึ้นสืบเนื่องจากการกู้ยืมเงินต้นทุนต่ำมาลงทุน ดังนั้นเมื่อเริ่มไม่มีกำไร จึงมีการปิดสถานะทำให้เกิดการขายหุ้นลงมา ทั้งนี้ นักลงทุนควรรอดูสถานการณ์ให้ฟื้นจริงค่อยเข้าไปลงทุน ควรปรับพอร์ตเพื่อถือเงินสดและให้รอดูภาวะตลาดให้นิ่งก่อนจะซื้อเมื่อมีแนวโน้มปรับขึ้นชัดเจน ส่วนแรงขายต่างชาติจะหยุดขายถึงเมื่อใดยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ แต่เชื่อว่า downside น่าจะเริ่มจำกัดอยู่ที่ 1,350 จุดเป็นแนวรับสำคัญ
ทั้งนี้ นักวิเคราห์เชื่อว่า การลงทุนวันนี้ (14 มิ.ย.) ประเมินว่าดัชนีมีโอกาสที่จะฟื้นตัว โดยประเมินกรอบแนวรับ 1,400 จุด และแนวต้านที่ 1,380 จุด เนื่องจากประเมินว่าโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นไทยมีไม่มากแล้ว กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาว ทยอยซื้อหุ้น
*** “จรัมพร”ย้ำปัจจัยพื้นฐานไทยยังดี -กองทุนช่วยพยุง
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ดัชนีการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ร่วงลงอย่างรุนแรง ว่านักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยมาตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยภายในระยะเวลา 2-3 อาทิตย์มีแรงเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในประเทศกลุ่ม TIP (Thailand Indonesia Philippines) ที่มีนักลงทุนขายมากที่สุดได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย และ ฟิลิปปินส์ เรียงตามลำดับ
“ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม เป็นต้นมา จากSET INDEX สูงสุดที่ 1,640 จุด มูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แรงขับเคลื่อนที่มาจากการที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง แต่จากสถานการณ์เงินทุนไหลออกจากการที่มาตรการ QE ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้สังเกตได้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเริ่มขาย ETF ออกไป ซึ่งมาจากความวิตกกังวล แต่ในปัจจัยพื้นฐานนั้น ยังคงอยู่ในระดับที่น่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยภาพรวมแล้วปัจจัยพื้นฐานยังคงรองรับได้อยู่”
โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มโอกาสที่จะฟื้นตัวดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีความมั่นคงทางการเมืองที่สูง ส่วนตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกจะได้ประโยชน์ในช่วงการเก็งกำไรระยะสั้น แม้ว่าจะมีเม็ดเงินไหลออก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจะไม่กระทบต่อภาพรวมเท่าไหร่นัก
“โดยรวมแล้วตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงดีอยู่ หากเปรียบเทียบสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งยังมีนักลงทุนทั่วไป และบริษัทหลักทรัพย์ยังคงซื้อหุ้นในปริมาณที่มากอยู่ และคาดว่า จะเป็นแรงซื้อช่วยพยุงให้หุ้นไทยลดลงในระดับที่ไม่น่าเกิน 5 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ค่าประเมิน P/E ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 12.45 เท่า โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน”